เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกต่างจับตา คือรัฐสภาภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในกฎหมายสำคัญที่มีชื่อว่า One Big Beautiful Bill Act (OBBBA)

OBBBA เป็นกฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณและการคลังครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ถูกคาดการณ์ว่าอาจก่อหนี้มูลค่าสูงถึง 3.4 ล้านล้านเหรียญหรือประมาณ 112.2 ล้านล้านบาท โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนฉิวเฉียด 218 ต่อ 214 เสียง และมีสมาชิกพรรครีพับลิกันเพียงสองรายเท่านั้นที่โหวตสวนทางกับมติพรรค

ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในร่างกฎหมายการใช้จ่ายและภาษีขนาดใหญ่นี้เรียบร้อย ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2025 โดยการลงนามในครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะทางกฎหมายที่สำคัญในช่วงกลางเทอมที่สองของเขา ตรงกับการเฉลิมฉลองประกาศอิสรภาพวันชาติสหรัฐฯ รวมถึงแสดงถึงชัยชนะทางทหารของสหรัฐฯ ในการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน

จึงเกิดคำถามสำคัญต่อมาว่าแล้วกฎหมาย One Big Beautiful Bill Act นั้นส่งผลประโยชน์และผลกระทบต่อใครบ้าง

One Big Beautiful Bill Act คือกฎหมายอะไร

One Big Beautiful Bill Act เป็นชุดนโยบายขนาดใหญ่ที่รวมเอาวาระการเมืองหลักของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในหลาย ๆ ด้านรวมเข้าไว้ในร่างกฎหมายเดียว ประกอบด้วยการจัดเก็บรายได้จากภาษี การเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงชายแดน งบประมาณกลาโหม และการสนับสนุนภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ซึ่งในทางกลับกันก็มีการลดสิทธิประโยชน์บางอย่างด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการของรัฐไปด้วย

ปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ (+)

กฎหมายนี้จะเพิ่มเครดิตภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร จากเดิม 2,000 เหรียญเป็น 2,500 เหรียญและให้มีผลถาวรในอัตรา 2,200 เหรียญซึ่งจะช่วยให้ครอบครัวที่มีลูกได้รับประโยชน์เพิ่มเติม รวมทั้งยังมีการยกเลิกภาษีที่ได้มาจากเงินทิปและค่าล่วงเวลา ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มคนทำงานเกี่ยวกับการบริการ พนักงานทั่วไป

อีกทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนหักลดหย่อนดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์สูงสุดถึง 10,000 เหรียญเฉพาะสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ

และมีมาตรการลดภาษีสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้ต่ำกว่า 75,000 เหรียญต่อปี (150,000 เหรียญสำหรับคู่สมรส) สามารถหักลดหย่อนภาษี 6,000 เหรียญ ส่วนผู้สูงอายุที่มีรายได้มากกว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะได้รับการหักลดหย่อนลดลงจนตามขั้นบันได

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง “Trump Accounts” เป็นบัญชีเงินออมสำหรับเด็กที่เกิดในช่วงปี 2024-2028 รัฐบาลจะสมทบเงิน 1,000 ดอลลาร์ และผู้ปกครองสามารถฝากเพิ่มได้ปีละ 5,000 เหรียญ เพื่อนำไปใช้ด้านการศึกษา การฝึกอาชีพ หรือซื้อบ้านหลังแรก

ส่วนในภาคธุรกิจ มีการเอื้อประโยชน์แพ็คเกจภาษีที่ผ่านโดยรัฐสภามีบทบัญญัติให้เพิ่มเพดานการหักลดหย่อนภาษีของรัฐและท้องถิ่น (SALT) เป็น 40,000 เหรียญ ซึ่งเท่ากับเพิ่มเพดานเดิม 10,000 เหรียญ สำหรับเจ้าของบ้านในรัฐและเขตมหานครบางแห่ง

ในระยะสั้น มาตรการลดภาษีเหล่าช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการประมาณการเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าจะมีการสร้างงานใหม่หลายล้านตำแหน่ง โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการ เนื่องจากเปิดรับรายได้สุทธิจากทิปที่เพิ่มขึ้น

นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม (-)

อย่างไรก็ตาม การตัดลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ทำให้การลงทุนในพลังงานสะอาดชะลอตัว ส่งผลให้การพัฒนาพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ อาจหยุดชะงัก ดังนั้นเป้าหมายการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องเลื่อนออกไป ขณะเดียวกันการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น

ทราวิส แฮมมิล (Travis Hammill) ผู้อำนวยการของ Southern Utah Wilderness Alliance ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า “หากพรรครีพับลิกันใส่ใจเรื่องอากาศและน้ำที่สะอาด สัตว์ป่า หรือโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็คงไม่มีผลบังคับใช้ แต่ลำดับความสำคัญของพวกเขาชัดเจน”

นอกจากนี้ เตรียมจะยกเลิกเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าหลังเดือนกันยายน และอาจจะยุติการให้เครดิตภาษีสำหรับเจ้าของบ้านที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือปั๊มความร้อนประหยัดพลังงาน ยกเลิกให้เงินจูงใจสำหรับบ้านประหยัดพลังงานใหม่และโครงการปรับปรุงสภาพอากาศภายในบ้านภายในสิ้นปีนี้

การตัดงบสวัสดิการ (-)

อีกด้านหนึ่งของ OBBBA ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งคือการลดงบประมาณสวัสดิการ ภายใต้กฎหมายใหม่ ผู้ได้รับสวัสดิการหลายกลุ่มจะถูกกระทบโดยตรง เช่น กลุ่มผู้กู้เงินเพื่อการศึกษาที่จะมีตัวเลือกในการชำระคืนเงินกู้ยากขึ้น โดยยกเลิกแผนการชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาทั้งสี่แผนที่มีอยู่เดิม และเสนอทางเลือกเพียงสองแผน ได้แก่

  • แผนการชำระเงินรายเดือนคงที่ตลอดระยะเวลาที่กำหนด
  • แผนความช่วยเหลือการชำระคืน (RAP) ที่จะช่วยให้ผู้กู้สามารถลดหรือระงับการชำระเงินได้ชั่วคราวตามระดับรายได้ของผู้กู้ แต่ยังคงต้องชำระให้ครบภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น

ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการชำระคืนเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยผู้กู้ระดับปริญญาตรีจะต้องจ่ายเงินเพิ่มถึง 2,929 เหรียญต่อปี ภายใต้ RAP ส่งผลให้ผู้กู้ต้องเลือกระหว่างการชำระคืนเงินกู้และการใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ หรือเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้

มีการยกเลิกสิทธิพิเศษของผู้รับสวัสดิการอาหาร (SNAP) โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ทหารผ่านศึกและคนไร้บ้าน ทำให้คนกลุ่มนี้เสี่ยงสูญเสียสิทธิช่วยเหลือด้านอาหารในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังมีการตัดงบประมาณ Medicaid ซึ่งส่งผลให้คลินิกที่ให้บริการทำแท้ง หรือบริการเกี่ยวข้อง เช่น Planned Parenthood ไม่สามารถเข้าถึงกองทุน Medicaid ได้อีกต่อไป ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากอาจสูญเสียการบริการสุขภาพที่สำคัญ เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็ง และการดูแลก่อนคลอด

ซึ่งศูนย์ Planned Parenthood อาจต้องปิดตัวลงถึง 1 ใน 3 ส่งผลต่อผู้หญิงที่ใช้บริการมากกว่าหนึ่งล้านคนทั่วประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ยังประมาณการว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ผู้ลงทะเบียน Medicaid มากถึง 1.3 ล้านคนสูญเสียสิทธิ์

งบกระทรวงกลาโหม (+)

กฎหมายนี้ได้เพิ่มงบประมาณความมั่นคงชายแดนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 350,000 ล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ขยายศูนย์กักกันผู้อพยพ และจ้างเจ้าหน้าที่ ICE เพิ่มอีก 10,000 คนภายในปี 2029

ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้ รัฐบาลทรัมป์จะมีอำนาจและทรัพยากรมากขึ้นอย่างมากในการเพิ่มกำลังพลในการเนรเทศโดยไม่แบ่งแยกระหว่างเจ้าหน้าที่กลุ่มค้ายากับคนย้ายถิ่นทั่วไป ซึ่งอาจก่อเกิดปัญหาในอนาคต

พร้อมกับออกกฎหมาย RECA ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ชดเชยให้กับผู้คนที่เจ็บป่วยจากการพัฒนาและการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือโรคอื่น ๆ จากการทดสอบนิวเคลียร์บนพื้นดินนั้น

ผลกระทบในอนาคตที่ไม่อาจมองข้าม

นักเศรษฐศาสตร์กังวลว่าจะเกิดหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้นราว 3.3-4 ล้านล้านเหรียญในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้ความน่าเชื่อถือทางเครดิตของประเทศลดลง และอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงในระยะยาว

ขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะยังมีความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนทั่วไปมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้น และกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในวงกว้าง

ซึ่งอาจส่งผลต่อความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า กลุ่มผู้มีรายได้สูงจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบจากการตัดลดสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้รายได้ของกลุ่มนี้ลดลงโดยเฉลี่ย 2.5%

หากมองในมุมแรก ภาพรวมของกฎหมายนี้เน้นไปที่การลดค่าครองชีพให้คนอาศัยในประเทศเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนประณามร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยกล่าวว่าร่างกฎหมายฉบับนี้น่าจะส่งผลดีต่อบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ ขณะเดียวกันก็ทำให้ครอบครัวที่ยากจนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่สำคัญ

ร่างกฎหมายฉบับนี้ทำให้คนจนยากจนลง ขณะที่คนรวยก็รวยขึ้น

บ็อบบี้ โคแกน (Bobby Kogan) อดีตนักวิเคราะห์ตัวเลขประจำคณะกรรมการงบประมาณ วุฒิสภา

การผ่านกฎหมายนี้สร้างความไม่พอใจต่อพรรคเดโมแครตและกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างมาก สมาชิกพรรคเดโมแครตทั้ง 212 คน ลงมติคัดค้านร่างกฎหมายนี้อย่างพร้อมเพรียง โดยระบุว่าเป็นนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนรวยและทำร้ายคนจน

โดย ฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาฯ ออกมากล่าวสุนทรพจน์ยาวนานกว่า 8 ชั่วโมง เรียกร้องต่อต้านอย่างแข็งขันและเปรียบเทียบว่ากฎหมายนี้คือ “โรบินฮู้ดกลับด้าน” ปล้นคนจนช่วยคนรวย โดยจะทำให้โรงพยาบาลและสถานดูแลผู้สูงอายุในชนบทต้องปิดตัวลง

ขณะเดียวกันยังทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ทางการเมือง เช่น อีลอน มัสก์ ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ได้ประกาศตั้งพรรค America Party เพื่อแสดงจุดยืนและผลักดันนโยบายใหม่ที่ต่างไปจากทรัมป์อย่างชัดเจน

ซึ่งก่อนหน้านี้ มัสก์เคยเป็นผู้บริจาคเงินรายใหญ่ที่สุดในการเลือกตั้งปี 2024 โดยสนับสนุนทรัมป์กว่า 280 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 9,240 ล้านบาท และได้รับตำแหน่งหัวหน้าโครงการ Doge ที่เน้นลดงบราชการ แต่ในปี 2025 ทั้งสองเริ่มมีความเห็นไม่ตรงกัน จนนำไปสู่ความขัดแย้งและการประกาศตั้งพรรคใหม่

กฎหมาย One Big Beautiful Bill Act ของประธานาธิบดีทรัมป์คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ แม้จะมีจุดเด่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน แต่ก็มีผลกระทบรุนแรงในแง่ของสวัสดิการ สิ่งแวดล้อม และการเมืองภายในประเทศอย่างไม่อาจมองข้ามได้

ผลกระทบระยะยาวของกฎหมายนี้อาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของสหรัฐอเมริกาในอนาคตว่าจะรุ่งเรืองหรือเป็นภาระที่หนักหนาสำหรับคนรุ่นต่อไป