สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บรรลุข้อตกลงการค้าครั้งสำคัญกับสหภาพยุโรป (EU) เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปในอัตรา 15% ครอบคลุมสินค้าส่วนใหญ่ รวมถึงรถยนต์

ขณะที่ EU ตอบแทนด้วยการตกลงซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 750,000 ล้านเหรียญ และอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่มอีก 600,000 ล้านเหรียญในสหรัฐฯ รวมคิดเป็น1.35 ล้านล้านเหรียญหรือราว 44.5 ล้านล้านบาท

แม้ตัวเลขภาษี 15% จะสูงกว่าที่ฝั่งยุโรปต้องการที่ 10% แต่ก็ถือว่าดีกว่าข้อเสนอเดิมของทรัมป์ที่เคยขู่จะขึ้นภาษีถึง 30% หากการเจรจาล่ม

นอกจากนี้ ยังมีการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น เครื่องบิน ชิ้นส่วนเคมี และเวชภัณฑ์ ซึ่งจะไม่โดนภาษีชุดใหม่นี้เพิ่มขึ้น

สำหรับมูลค่าการค้าโดยรวมระหว่างสหรัฐฯ กับ EU ในปี 2024 มีมูลค่าสูงถึง 1.97 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 65 ล้านล้านบาท โดยฝั่ง EU มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ราว 50,000 ล้านยูโรในปีที่ผ่านมา

ด้านผู้นำยุโรปต่างออกมาสนับสนุนดีลนี้ แม้จะยอมรับว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้การค้าระหว่างสองฝั่งยากขึ้น นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เฟรดริช แมร์ซ ระบุว่า ข้อตกลงนี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนีที่ก่อนหน้าต้องเจอกับภาษีสูงถึง 27.5%

ขณะที่ผู้นำอิตาลีและไอร์แลนด์ก็เห็นตรงกันว่า ดีลนี้ช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและสร้างความมั่นคงในการค้า และถือว่าอัตราภาษี 15% ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ หากไม่เพิ่มขึ้นจากภาษีที่มีอยู่เดิม