นับว่าเป็นเรื่องน่ากังวลในยุคที่ไม่ว่าใครก็สามารถสร้างข่าวลือหรือแม้แต่ข่าวปลอมได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้น โดยล่าสุด เกิดข่าวปลอมแพร่กระจายไปทั่วโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว หลังเกิดเหตุยิงชายนักเคลื่อนไหวคนหนึ่งเสียชีวิต ในงานที่มหาวิทยาลัยในรัฐยูทาห์ 

ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตามล่าคนร้าย ข่าวลือและข้อมูลที่ไม่มีมูลความจริงก็แพร่สะพัดอย่างหนัก ทั้งเรื่องตัวตนของผู้ต้องสงสัย และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแชร์หัวข่าวปลอม และใช้แชตบอต AI เพื่อทวีความรุนแรงและขยายความสับสนให้มากยิ่งขึ้น”

ระบุตัวตนผิดคนและสร้างเรื่องปลอม

วิดีโอที่ถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียหลายคลิปพยายามชี้ตัวผู้ต้องสงสัยอย่างผิด ๆ มีทั้งการนำวิดีโอเก่าที่เคยใช้จับกุมคนร้ายในคดีอื่นมาแชร์ซ้ำ รวมไปถึงนำภาพของคนที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่คนละรัฐและใช้ชีวิตปกติมากล่าวหาว่าเป็นมือปืน เท่านั้นไม่พอ ยังมีการนำภาพของหญิงสาวคนหนึ่งมาอ้างอย่างผิด ๆ ว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนข้ามเพศ ซึ่งเธอก็ต้องออกมายืนยันว่าภาพของเธอถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและเธอไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการสร้างข่าวปลอมขึ้นมา โดยมีหัวข่าวหนึ่งที่อ้างว่าสำนักข่าว CNN เคยลงข่าวในอดีตว่านักเคลื่อนไหวผู้นี้เคยพูดในทำนองว่า “ถ้าถูกยิงมันก็เจ๋งดี” ซึ่ง CNN ก็ออกมาชี้แจงแบบทันควัน พร้อมยืนยันว่าไม่เคยเผยแพร่ข่าวดังกล่าวเลย

ผู้ไม่หวังดีใช้ภาพหน้าจอของหัวข่าวจาก New York Times ที่ปรากฏในผลการค้นหาของ Google มาอ้างว่าสื่อรู้ล่วงหน้าเรื่องการยิงครั้งนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสื่ออาจมีส่วนรู้เห็นล่วงหน้ารึเปล่า ? โดยระบุว่า พาดหัวข่าวดังกล่าวถูกโพสต์ก่อนเกิดเหตุการณ์จริงหลายชั่วโมง แต่เมื่อตรวจสอบกับทางสำนักข่าวแล้วพบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากความคลาดเคลื่อนของเวลาที่แสดงในระบบค้นหา จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด

แชตบอต AI ก็กลายเป็นเครื่องมือขยายความสับสน

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งแชตบอตของ Perplexity และ Grok ต่างก็ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดในเรื่องนี้ เมื่อมีคนถามถึงเหตุการณ์ แชตบอตกลับตอบว่าเหตุการณ์นี้เป็นแค่ “สถานการณ์สมมติ” และผู้เสียชีวิต “ยังมีชีวิตอยู่” ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จอย่างสิ้นเชิง และยังมีการนำแถลงการณ์จริงจากทำเนียบขาว และกลุ่มนักศึกษามากล่าวหาว่าเป็นของปลอม ทั้งยังมีการยืนยันข่าวลือผิด ๆ ว่ามีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยมาได้บางคนแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข่าวปลอมเช่นเดียวกัน

เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่า ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนรวดเร็ว แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหรือแม้แต่เทคโนโลยี AI เองก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ในการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนและสร้างความสับสนในวงกว้างได้ง่ายดายแค่ไหน

เราผู้ที่เป็นทั้งผู้ใช้ AI และ ผู้เสพสื่อ ก็ควรจะมีวิจารณญาณในการกลั่นกรองเรื่องราวต่าง ๆ จุดสังเกตก็มีไม่กี่ข้อ และช่วยทำให้เราไม่เข้าใจผิดกับข่าวสารที่แท้จริง

วิธีสังเกต “ข่าวปลอม”

  • พาดหัว : ข่าวปลอมมักใช้พาดหัวที่ดูหวือหวาเกินจริง มีตัวอักษรเด่นและใช้เครื่องหมายตกใจมากเกินไป
  • ที่อยู่เว็บไซต์ (URL) : สังเกตดู URL ให้ดี ข่าวปลอมมักสร้าง URL ที่คล้ายคลึงกับเว็บไซต์ข่าวจริง แต่มีการสะกดที่ผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย
  • แหล่งที่มา : ตรวจสอบว่าข่าวมาจากสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือหรือไม่ หากเป็นองค์กรที่ไม่คุ้นเคย ลองเข้าไปดูที่หน้า “เกี่ยวกับ” (About Us) เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
  • การสะกดคำและรูปแบบ : เว็บไซต์ข่าวปลอมมักมีการสะกดคำผิดบ่อยๆ หรือมีการจัดวางหน้าเว็บที่ไม่เป็นระเบียบ
  • รูปภาพและวิดีโอ : รูปภาพหรือวิดีโอที่ใช้ในข่าวปลอมมักถูกตัดต่อ หรือเป็นภาพจริงที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวเลย
  • วันที่ : ตรวจสอบวันที่และลำดับเหตุการณ์ในข่าวว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ บางครั้งข่าวปลอมอาจใช้เหตุการณ์เก่ามาเปลี่ยนวันที่
  • หลักฐาน : ดูว่าข่าวมีแหล่งอ้างอิงหรือคำพูดจากผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือหรือไม่ ถ้าไม่มีหรือไม่สามารถตรวจสอบได้ ข่าวอาจเป็นข่าวปลอม
  • การรายงานจากแหล่งอื่น : ลองค้นหาข่าวเดียวกันจากหลายๆ แหล่ง หากไม่มีสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือรายอื่นรายงานเรื่องเดียวกัน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นข่าวปลอม
  • เรื่องตลกกึ่งเสียดสี : บางครั้งข่าวปลอมอาจดูคล้ายกับเรื่องตลกหรือการเสียดสี ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์หรือเพจนั้นชอบทำข่าวล้อเลียนหรือไม่