เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการศึกษามากขึ้น AI จึงกลายเป็นเครื่องมือที่เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้นอกตำรา แต่คำถามสำคัญคือ…เมื่อเด็กใช้ AI ช่วยทำการบ้านมากขึ้น เพียงไม่กี่วินาทีก็ได้คำตอบ สิ่งนี้กำลังจะกลายเป็นทางลัดสู่ความรู้ หรือเป็นเพียงดาบสองคมที่กำลังบั่นทอนทักษะการคิดวิเคราะห์ของพวกเขาไปโดยไม่รู้ตัวกันแน่​ ?

เด็กยุคใหม่หันมาใช้ AI ทำการบ้านมากขึ้น 

AI ได้กลายมาเป็น “เพื่อนซี้” ของนักเรียนในยุคนี้ และกำลังแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การช่วยหาไอเดียสำหรับเรียงความ แปลภาษา ไปจนถึงแก้โจทย์คณิตศาสตร์ แม้ว่าการใช้ AI จะช่วยส่งเสริมการศึกษานอกตำราเรียนก็จริง แต่ก็ทำให้เด็กขาดทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 

นี่จึงเป็นประเด็นถกเถียงกันว่า การที่เด็กใช้ AI ช่วยทำการบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ผิดไหม ? 

“บางคนก็ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควร เพราะกลัวเด็กจะขี้เกียจ ไม่อยากคิดเอง”

“บางคนก็ว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะนี่คืออนาคตของการศึกษา”

เพราะหากย้อนไปในยุคก่อน AI การหาข้อมูลต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก ทั้งการค้นคว้าในห้องสมุด การเปิดหนังสือหลายเล่ม หรือการทำแบบฝึกหัดกันหัวแทบหมุน

แต่เมื่อมาถึงยุคของ AI ครูไทยหลายคนเริ่มเป็นห่วงเด็กนักเรียนมากขึ้น จากการที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ ใช้ ChatGPT ในการทำการบ้าน เพียงคลิกเดียวก็ได้คำตอบรวดเร็ว หรือตอบคำถามครูในห้องเรียนก็ไม่ต้องเสียเวลาเปิดหนังสือให้วุ่นวาย  

ทำให้เด็กส่วนใหญ่ หันไปพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะวิชาที่เป็นเชิงวิเคราะห์หรือต้องแสดงวิธีทำ ก็มักจะคัดลอกคำตอบมาเป๊ะ ๆ โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลก่อน 

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดแค่บ้านเราเท่านั้น ทั่วโลกก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน อย่างที่สหรัฐฯ ครูหลายคนพบว่า วัยรุ่นในช่วงอายุ 13-16 ปี ใช้ ChatGPT ช่วยทำการบ้าน เกิดปัญหาที่ว่าเด็กหวังพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป โดยไม่พยายามใช้ความสามารถของตัวเอง ครูหลายคนจึงต้องเปลี่ยนการสอบแบบใหม่ เพื่อให้เด็กได้ใช้ทักษะความคิดมากขึ้น

ครูและผู้ปกครองควรทำยังไงในยุคที่ AI อยู่รอบตัวเด็ก

ครูและผู้ปกครองควรทำอย่างไร เมื่อเด็กใช้ AI ช่วยทำการบ้านมากขึ้น ? ทางด้านกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้เผยแพร่ คู่มือการใช้ AI สำหรับครู นักเรียน โรงเรียน และผู้ปกครองในประเทศไทยปี ปี ค.ศ. 2025 ลงบนเว็บไซต์ โดยเครื่องมือฉบับดังกล่าวเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบทบาทการใช้ AI เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงประโยชน์ และแนะนำวิธีการใช้งานอย่างเหมาะสม 

ดังนั้นบทบาทของครูจึงต้องถูกปรับเปลี่ยนไป การใช้ AI เข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้ ไม่ได้เป็นเพียงตัวการร้ายที่ทำให้เด็กเกิดกระบวนการคิดที่น้อยลง หากรู้จักใช้เป็น หน้าที่ของครูจึงไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการสร้างการตระหนักรู้และการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาปรับใช้ร่วมกับการเรียนการสอน สร้างขอบเขตการใช้งาน ให้ AI เป็นเพียงเครื่องมือผู้ช่วยที่ไม่ใช่เพื่อหาคำตอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องนำมาบูรณาการเชิงสร้างสรรค์เพื่อให้เด็กได้ลองคิดนอกกรอบมากยิ่งขึ้น และการปลูกฝังจริยธรรมการใช้เทคโนโลยี ในการอ้างอิงแหล่งที่มา

ไม่ได้ห้าม แต่ต้องรู้จักใช้อย่างเท่าทัน

ไม่ใช่แค่ที่โรงเรียนเท่านั้น ทางฝั่งผู้ปกครองก็ต้องตระหนักถึงความสำคัญนี้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับการใช้ AI ที่อาจนำไปสู่ปัญหาที่คาดไม่ถึง นี่จึงเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรละเลยและจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อเด็กใช้ AI เป็นเพื่อนที่ปรึกษา ผู้ปกครองจึงต้องคอยแนะนำ เปิดใจคุยถึงปัญหา รวมถึงวิธีการใช้งานอย่างปลอดภัย ให้ตระหนักถึงข้อมูลส่วนตัวและไม่ให้หลงเชื่อข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นทั้งหมด

ท้ายที่สุดแล้ว AI ที่นำมาช่วยทำการบ้านนั้น อาจไม่ใช่ตัวการเสมอไป หากเรารู้จักตั้งคำถาม ไม่หลงไปกับข้อมูลที่ AI หยิบยื่นให้ และใช้มันเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของตัวเอง ดังนั้น การเสริมทักษะรู้เท่าทัน AI จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยุคนี้