การทำงานที่จำเจวนลูปซ้ำ ๆ จนความตื่นเต้นในการทำงานค่อย ๆ หายไป ขั้นตอนที่เคยซับซ้อนกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติที่เราจำได้ขึ้นใจราวกับมี AI ส่วนตัวอยู่ในหัวสมอง คิดแค่นี้ทำตามแผนเดิมแค่นี้ ก็มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด งานวันนี้ก็แค่ทำเหมือนเมื่อวาน และตื่นมาทำแบบเดิมวนไปเรื่อย ๆ

ทุกคนอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงคิดว่าแล้วมันไม่ดีตรงไหน ? แน่นอนว่าช่วงแรกมันก็ดูเหมือนจะดี เพราะไม่ต้องรับมือกับปัญหาให้ปวดหัว แต่พอนานวันเข้า ทำไมกลับรู้สึกหมดแรง ทั้งที่งานก็ไม่ได้หนัก ? จิตใจมันห่อเหี่ยวแม้ไม่ได้โดนติเตียนในเรื่องงานด้วยซ้ำ

มองไปรอบตัวแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างน่าเบื่อไปหมด นั่งมองนาฬิการอเวลาเลิกงาน หรือใช้ชีวิตเพื่อรอคอยแค่วันหยุด อาการเหล่านี้ทำให้เราเผลอโทษตัวเองว่า “ขี้เกียจ” หรือเปล่า ? หรือว่าเราเริ่มหมดไฟ Burn-Out ในการทำงาน ?

จริง ๆ แล้วอาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่อาจเป็นภาวะที่เรียกว่า “Rust-Out” แทนหรือ “ภาวะสนิมเกาะใจ” ที่เป็น “คู่แฝดจอมน่าเบื่อ” ของ Burn-Out ซึ่งเกิดจากการที่งาน “ไม่ท้าทาย” เกินไปจนใจเราขึ้นสนิม

วันนี้ BT beartai ชวนมารู้จัก Rust-Out ภาวะหมดไฟที่ไม่ได้มาจากการทำงานหนัก แต่มาจากการที่เราทำแต่งานที่น่าเบื่อ พร้อมแชร์วิธีรับมือหากเรากำลังตกอยู่ในภาวะนี้กัน

Rust-Out คืออะไร ?

ในขณะที่ Burn-Out คือภาวะที่เกิดจาก “ความตึงเครียดที่มากเกินไป” ทั้งงาน, ความกดดัน, และเดดไลน์ Rust-Out กลับตรงกันข้าม มันคือภาวะที่เกิดจาก “ความท้าทายที่น้อยเกินไป” เป็นความเบื่อหน่ายเรื้อรัง (Chronic Boredom) ที่เกิดจากงานซ้ำซาก ไม่ได้ใช้ศักยภาพหรือทักษะที่เรามี และขาดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ จนเรารู้สึก “เฉา” และ “ไร้คุณค่า”

จริง ๆ ถ้าใช้คำว่าสนิม น่าจะตอบความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุด เพราะอารมณ์นี้มันเปรียบเสมือนสิ่งของที่เคยมีค่า แต่ถูกปล่อยทิ้งไว้ ไร้การดูแล เหมือนกับพนักงานที่รู้สึกว่าองค์กรหรือหัวหน้าไม่ใส่ใจ ไม่มีการมอบหมายงานที่มีคุณค่าหรือท้าทาย จนไฟในการทำงานมอดลงและกลายเป็นสนิมที่กัดกินใจในที่สุด

สัญญาณเตือนว่าคุณกำลัง “ใจขึ้นสนิม” 

  • รู้สึกเบื่อหน่ายและเฉยชา ขาดแรงจูงใจในการตื่นไปทำงาน รู้สึกว่างานที่ทำไม่มีความหมาย
  • ผัดวันประกันพรุ่ง (Procrastination) ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะงานมันน่าเบื่อและไม่ท้าทาย จนต้องหาอย่างอื่นทำฆ่าเวลา
  • มองโลกในแง่ร้าย (Cynicism) เริ่มรู้สึกไม่ยึดโยงกับองค์กร มองการประชุมหรืองานใหม่ๆ เป็นเรื่องน่ารำคาญ
  • รู้สึกว่าตัวเองเก่งเกินงาน (Over-qualified) รู้สึกว่าศักยภาพที่มี มันมากกว่างานรูทีนที่กำลังทำอยู่มาก
  • โทษตัวเอง นี่คือจุดที่อันตราย เพราะ Rust-Out มักเกิดขึ้นเงียบๆ จนเราเผลอคิดว่า “เราคงเป็นคนขี้เกียจ” หรือ “เราไม่ดีพอเอง” ทั้งที่จริงแล้วปัญหอาจอยู่ที่ “สภาพแวดล้อม”

4 วิธีรับมือ เมื่อใจเริ่ม “ขึ้นสนิม”

การจุดไฟที่กำลังมอดให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง อาจไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือน แต่คือการทำให้เรารู้สึก “มีคุณค่า” และ “ได้เติบโต” อีกครั้ง หากคุณรู้สึกว่ากำลังเผชิญภาวะ Rust-Out ลองดู 4 วิธีนี้

จัดขอบเขตงานใหม่ด้วยตัวเอง 

มุมมองที่ท้าทายบางทีอาจจะเริ่มจากตัวเรา ลองเริ่มจากอะไรที่เราคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้สกิลนี้ในการทำงาน อาจจะลองเสนอตัวเพื่อช่วยให้งานราบรื่น แชร์มุมมองใหม่ ๆ กับเพื่อนร่วมทีม Brainstorm กับเพื่อนร่วมทีม เพื่อที่จะได้ใช้จุดแข็ง หรือ ทักษะที่หลงใหล แม้เพียงเล็กน้อย ก็ช่วยขัดสนิมในใจได้

เติมทักษะใหม่

ความเบื่อเกิดจากความราบเรียบ ลองทำลายความราบเรียบนั้นด้วยการ “เรียนรู้” สิ่งใหม่ ๆ อาจจะเป็นการลงคอร์สออนไลน์ที่เกี่ยวกับงานโดยตรงเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยคิดจะทำมันมาก่อน เช่น ภาษาที่สาม, การตัดต่อวิดีโอ หรืออื่น ๆ ที่นอกจากสกิลรูทีน เป็นต้น

คุยกับหัวหน้า (อย่างมีกลยุทธ์)

ถ้าการปรับที่ตัวเองยังไม่พอ อาจถึงเวลาที่ต้องสื่อสาร แต่อย่าเพิ่งเดินไปบอกว่า “ผมเบื่อครับ” ให้เตรียม “แผน” ไปด้วย ลองรวบรวมว่าเราสนใจงานส่วนไหนเป็นพิเศษ, เรามีทักษะอะไรที่ยังไม่ได้ใช้, หรือมีโปรเจกต์ไหนที่เราอยากเข้าไปช่วยทำ แล้วเสนอหัวหน้าอย่างสุภาพและตรงไปตรงมา เช่น “ผมสังเกตว่าโปรเจกต์ X กำลังต้องการคนช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ผมสนใจและอยากเรียนรู้ด้านนี้เพิ่มครับ”

มองหาความท้าทาย “นอกออฟฟิศ”

บางครั้ง “เนื้องาน” ก็อาจจะมีข้อจำกัดจริง ๆ เปลี่ยนแปลงได้ยาก หากเราเจอแบบนั้นอยู่บ่อย ๆ ลองหางานอดิเรก หรือกิจกรรมอาสาที่ได้ใช้ศักยภาพของเราเต็มที่ดู การได้เห็นคุณค่าของตัวเองในพื้นที่อื่นบ้าง ก็ช่วยเยียวยาความรู้สึก “ไร้ค่า” จากงานหลักได้

สุดท้ายนี้ การรู้สึก Rust-Out มันไม่ใช่ความผิด และไม่ใช่เรื่องแปลกเลย มันเป็นเพียงสัญญาณเตือนว่า “ศักยภาพ” ของคุณต้องการพื้นที่ที่จะได้ “เติบโต” และ “ท้าทาย” มากกว่าเดิม และคุณเองก็ยังมี Passion กับมันอยู่…