เคยสังเกตกันมั้ย? บนโซเชียลฯ มันเหมือนมี ลิสต์คำลับ ที่เราพูดตรง ๆ ไม่ได้ ใคร ๆ ก็คิดแบบนั้นแหละ แต่อาจจะเคยเห็นว่าเดี๋ยวนี้คนชอบเลี่ยงคำแปลก ๆ บนโซเชียลฯ เช่น แทนที่จะพูดว่า “ฆ่า” ก็พูดว่า “อูนอไลฟ์” (Unalived) หรือแทนที่จะพูดถึงปืน ก็เรียกมันว่า “ปิ้ว ๆ” (Pew Pews) ส่วนเรื่องบนเตียงของผู้ใหญ่ที่ยอมพร้อมใจกัน ก็กลายเป็น “เซ็กส์” (สะกดแปลก ๆ) ชาวเน็ตเองก็ยอมรับแหละว่าพูดแบบนี้แล้วดูตลก ดูปัญญาอ่อนไปหน่อย แต่หลายคนก็บอกว่า ทำไงได้วะ? ไม่มีทางเลือก
ไอ้ภาษาเหล่านี้ที่ว่านี่แหละที่เรียกว่า “Algospeak” มันคือภาษาลับที่เราสร้างขึ้นมา เพราะเราเชื่อสุดใจว่า “อัลกอริทึม” (ระบบ AI ที่คุมฟีดเราอยู่) มันจะฝังโพสต์ของเราไว้ไม่ให้ใครเห็น หรือลดการมองเห็นลง (เรียกง่ายๆ ว่า “โดนปิดกั้น” หรือ “โดนแบน”) ถ้าเราดันใช้คำต้องห้าม หรือพูดในสิ่งที่พวกบริษัทโซเชียลฯ ไม่อยากให้พูด อาจจะเป็นเพราะต้องการดันวาระของตัวเอง หรือแค่จะล้างฟีดให้ดูสะอาดตาเข้าไว้ จะได้ถูกใจ “นายทุนโฆษณา” นั่นแหละ
แต่พวกพี่ ๆ บริษัทเทคฯ อย่าง YouTube, Meta (Facebook/IG) หรือ TikTok ก็สาบานว่า “ไม่จริงโว้ย มั่ว ไม่มีลิสต์คำแบนอะไรรร” โฆษกของ YouTube บอกชัดเจนเลยว่า “นโยบายของเรามันซับซ้อนนะโว้ย มันดูบริบทและความหมายด้วย” พวกเขายืนยันว่าถ้าทำจริง ป่านนี้แพลตฟอร์มคงไม่หลากหลายขนาดนี้หรอก สรุปคือพวกเขาบอกว่า “มันเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนาน”
แต่ความจริงมันก็… ซับซ้อน
ในอดีตที่ผ่านมา เราเห็นตัวอย่างเยอะแยะไปหมดว่าบริษัทโซเชียลฯ มันแอบเล่นกล จัดการว่าคอนเทนต์ไหนจะปัง คอนเทนต์ไหนจะแป้ก บางทีก็ขัดกับที่ตัวเองพูดเรื่องความโปร่งใสและเป็นกลางด้วยซ้ำไป ผู้เชี่ยวชาญก็คอนเฟิร์มนะว่า ถึงมันจะไม่ใช่แค่คำเดียวเป๊ะ ๆ แต่พวกพี่บิ๊กเทคฯ ก็มีการ “แทรกแซงแบบเนียน ๆ” เพื่อลดเนื้อหาบางอย่างจริง ปัญหาที่โคตรจะปวดหัวคือ เราไม่มีทางรู้เลยว่าทำไมโพสต์เราถึงพัง เพราะดันไปใช้คำที่อัลกอฯ ไม่ปลื้ม? หรือเพราะวิดีโอที่เราทำมันห่วยแตกเอง? ความคลุมเครือเนี่ยแหละที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เซ็นเซอร์ตัวเอง” (Self-Censorship) ในวงกว้างมาก ๆ ผลก็คือคนต้องมานั่งพูดเรื่องโคตรจะจริงจังด้วยภาษาที่โคตรจะติงต๊อง แต่ในมุมที่หนักข้อสุด ๆ คือเหล่าครีเอเตอร์ที่อยากจะ “ไวรัล” (Viral) ก็ต้องเลือกที่จะไม่แตะประเด็นเสี่ยง ๆ ไปเลย ในเมื่อโซเชียลฯ กลายเป็นแหล่งข่าวหลักของคนรุ่นใหม่ การเซ็นเซอร์ตัวเองแบบนี้อาจแปลว่า… มีบางเรื่อง บางความคิด ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ยินไปเลยไง
Algospeak สไตล์ไทย เลี่ยงบาลี หนีทัวร์ลง
สำหรับชาวไทยเราเนี่ย ปรากฏการณ์นี้มันยิ่งทวีความแซ่บ เพราะการเลี่ยงคำของเราไม่ได้แค่หนี “อัลกอริทึมต่างชาติ” อย่างเดียว แต่ยังต้องหนี “ทัวร์ลง” และ “กฎหมายจริง” ในชีวิตจริงด้วย คำศัพท์ใหม่ ๆ ในไทย เรามีคำรหัสที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว เช่น พูดถึงประเด็นละเอียดอ่อนด้วยการใช้ฉายา (แบบที่ต้องตีความกันเอง) หรือการเรียกชื่อสถานที่แทนตัวบุคคลสำคัญ การพูดแบบนี้ทำให้รอดจากการโดนแบนหรือโดนรายงานโดยระบบได้ง่ายกว่าการพูดตรง ๆ วัฒนธรรม “แซะ”: คนไทยเราเก่งเรื่องการประชดประชัน การพูดจิกกัด การใช้ Algospeak เลยเข้าทางเลย เหมือนเป็นการ “แซะแบบมีศิลปะ” ที่คนในรู้กัน แต่ระบบไม่รู้ (และบางทีคนนอกก็ไม่รู้ด้วย)
ลองดูเคสของ Alex Pearlman (ไอ้หนุ่มคอนเทนต์) ที่ตามกัด Jeffrey Epstein (นักการเงินสายเสื่อม) เขาเล่าว่า จู่ ๆ วิดีโอเกี่ยวกับ Epstein ก็โดน TikTok ลบเรียบในวันเดียว ในขณะที่ IG กับ YouTube ไม่เป็นไรเลย เขาเลยต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ เขาสลับไปใช้คำว่า “The Island Man” หรือ “ไอ้หนุ่มเกาะ” แทน (เพราะ Epstein มีเกาะส่วนตัวสุดฉาว) นี่แหละคือปัญหา ระบบไม่บอกว่าผิดตรงไหน ทำให้เราต้องเดาเอาเองว่า “Black Box” มันต้องการอะไร และถึงแม้ Pearlman จะเลี่ยงไปใช้ภาษาลับแล้ว แต่เขาก็ยอมรับว่า “ปัญหาคือคนดูจำนวนมากจะไม่รู้ว่ามึงกำลังพูดถึงใครอยู่ไง” ก็เท่ากับว่าสาระมันลดลงไปอีก
หลักฐานมัดตัว: เคยมีเอกสารหลุดเมื่อปี 2019 ที่แฉว่า TikTok สั่งให้ทีมงานลดความสำคัญของคอนเทนต์จากผู้ใช้ที่ “ไม่สวย/หล่อ”, จน, พิการ หรือ LGBTQ+ โดยให้เหตุผลว่าพวกนี้ทำให้แพลตฟอร์มดู “ไม่หรูหรา” (Less fancy and appealing) แม้ TikTok จะบอกว่าเลิกทำไปแล้ว แต่…ก็น่าคิดปะวะ?
ปุ่ม “ฮีทเตอร์” และ “คูลเลอร์”: ปี 2023 TikTok ยอมรับว่ามีปุ่มลับที่เรียกว่า “Heating button” ที่ใช้สำหรับดันวิดีโอที่เลือกสรรแล้วให้แมสขึ้นมาทันที Pearlman เลยสรุปแบบง่าย ๆ เลยว่า: “อ้าว ถ้าพวกมันมีปุ่ม ‘ดัน’ ก็แปลว่ามันต้องมีปุ่ม ‘กดให้แป้ก’ (Cooler button) ด้วยดิวะ” ใครจะยอมรับวะ?
ปรากฏการณ์ที่พีคที่สุดคือการสร้าง “เรื่องโกหก” ขึ้นมาทั้งยวงเพื่อเลี่ยงอัลกอริทึม เมื่อปี 2025 ผู้คนบนโซเชียลฯ พากันโพสต์ถึง
- “เทศกาลดนตรีใหม่” ใน LA พูดถึงวงนั้นวงนี้สุดมันส์ แต่ความจริงคือไม่มีเฟสติวัลนี้เลย
- “เทศกาลดนตรี” เป็นรหัสลับที่โผล่มาแบบปุบปับ เพื่อสื่อถึง การประท้วงครั้งใหญ่ ต่อต้านตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ชาวเน็ตเชื่อว่าบริษัทเทคฯ กำลังซ่อนข่าวการประท้วงนี้ พวกเขาเลยต้องใช้รหัสลับ
- “เรากำลังอยู่ใน Los Angeles, California ที่กำลังเกิด ‘มิวสิคเฟสติวัล’ ขึ้น” Johnny Palmadessa (ครีเอเตอร์) พูดในวิดีโอ พร้อมเน้นคำนั้นเป็นพิเศษ “ใช่แล้ว เราต้องเรียกมันว่า ‘มิวสิคเฟสติวัล’ เพื่อให้มั่นใจว่าอัลกอริทึมมันจะโชว์ ‘คอนเสิร์ตสวย ๆ’ นี้ให้พวกคุณดู ไม่งั้นวิดีโอก็จะโดนลบ”
ส่วนที่ตลกที่สุด: Adam Aleksic นักภาษาศาสตร์บอกว่า… จริง ๆ แล้วมันไม่มีหลักฐานเลยว่าบริษัทโซเชียลฯ ไปแบนข่าวการประท้วงนี้จริง ๆ คือ TikTok อาจจะมีการจัดระเบียบไม่ให้คอนเทนต์การเมืองมันกองรวมกันเยอะเกินไป แต่ปกติมันก็ยอมให้ข่าวประท้วงผ่านอยู่แล้ว “ไอ้เรื่อง ‘มิวสิคเฟสติวัล’ เนี่ย ส่วนใหญ่แล้วมันเกิดขึ้นจากที่คนเรา ‘ระวังตัวมากเกินไป’ เพราะไม่แน่ใจว่าอัลกอริทึมจะเซ็นเซอร์อะไรหรือไม่เซ็นเซอร์อะไร” Aleksic ว่าไว้ ที่ฮาคือ การใช้คำว่า “มิวสิคเฟสติวัล” ดันทำให้คนแห่เข้ามาดูวิดีโอเยอะมาก เพราะอยากจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ “วงใน” ที่รู้รหัสลับไง มันเลยยิ่งไวรัลกว่าวิดีโอประท้วงปกติ และนี่แหละที่ทำให้คนยิ่งเชื่อว่า “การเซ็นเซอร์มันมีอยู่จริง” นักวิจัยเรียกมันว่า “จินตนาการทางอัลกอริทึม” (The Algorithmic Imaginary) คือคนเราเปลี่ยนพฤติกรรมเพราะเชื่อว่าอัลกอริทึมทำงานแบบนี้ และพฤติกรรมนั้นแหละดันไปปั้นให้อัลกอริทึมมันทำงานแบบที่เราเชื่อจริง ๆ มันวนลูปไปหมดเลย
สรุปง่าย ๆ
Sarah T Roberts อาจารย์จาก UCLA บอกว่า มันไม่ใช่เรื่องการเมืองหรอก แต่มันคือเรื่อง “เงิน” ล้วน ๆ บริษัทโซเชียลฯ ได้เงินจากโฆษณา ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาคือทำแอปให้คนติดหนึบ ใช้เยอะ ๆ เอาคอนเทนต์ที่ทำให้ลูกค้าโฆษณา (แบรนด์ดัง) สบายใจ ยัดใส่เข้าไป ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้รัฐบาลเข้ามาจุ้นจ้านเรื่องกฎหมาย การเปลี่ยนอัลกอฯ หรือการตัดสินใจจะแบนใคร ไม่แบนใคร มันก็มาจากแรงจูงใจที่อยากจะทำกำไรนี่แหละ พวกเขาบอกว่าการกลั่นกรองเนื้อหาคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นจริงนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผลประโยชน์ของผู้ใช้กับผลประโยชน์ของบริษัทมันสวนทางกัน… พวกเขาก็จะเลือกผลประโยชน์ของตัวเองนั่นแหละ
สุดท้ายนี้ อาจารย์ Roberts ทิ้งคำถามไว้ให้เราคิด: “ถ้าคนเราไม่พอใจกับอะไรบางอย่างในสังคม การแสดงออกด้วยการ ‘มุดหัว’ อยู่ในแพลตฟอร์มที่กำลังได้กำไรจากความไม่พอใจและความเซ็งของเราเนี่ย… มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วเหรอ?” พวกเราในฐานะชาวเน็ต ควรเริ่มคิดได้แล้วว่า การสื่อสารกันด้วยรหัสลับไปเรื่อย ๆ เนี่ย มันใช่ทางที่เราอยากให้วาทกรรมในสังคมเราเป็นแบบนี้จริง ๆ ปะวะ?