ทุกวันนี้ไม่ว่าจะไถหน้าจอไปแพลตฟอร์มไหน ก็หนีไม่พ้นคอนเทนต์อวดความน่ารักของเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็น ลูกดารา อินฟลูเอนเซอร์ หรือแม้แต่ลูกเพื่อนในโซเชียลที่เพิ่งหัดเดินเตาะแตะ ในมุมพ่อแม่อาจมองว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะใคร ๆ ก็อยากจะเก็บภาพโมเมนต์ความน่ารักของลูก ๆ ไว้ แต่อย่าลืมว่าในโลกโซเชียล ผู้คนอาจไม่ได้มองลูกคุณด้วยความเอ็นดูอย่างที่คุณมอง
เมื่อ Digital Footprint ของลูก ถูกสร้างขึ้นก่อนที่เขาจะผูกเชือกรองเท้าเป็น
สำหรับคนเป็นพ่อแม่แล้ว เวลาเห็นลูกทำท่าทางน่ารัก ๆ หรือมีพัฒนาการใหม่ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บไว้เป็นความทรงจำ หรืออยากแชร์โมเมนต์เหล่านั้นให้เพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ได้เห็น
ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เรียกกันว่า “แชร์เรนติง” (Sharenting) ซึ่งเกิดจากการผสมคำระหว่าง Share (การแบ่งปัน) และ Parenting (การเลี้ยงลูก) กลายเป็นคำนิยามที่ใช้เรียกพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกให้โลกรู้ หรือพฤติกรรมที่ถ่ายรูป วิดีโอ ข้อมูลของลูกผ่านโซเชียลมีเดีย ที่พ่อแม่อาจไม่ตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่ตามมา จนเปิดเผยหรือแชร์เรื่องราวของลูกที่มากจนเกินไป
เรียกได้ว่าแทบจะทุกฝีเก้าทุกกิจกรรมที่ลูกทำ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน ถูกโพสต์เป็นสาธารณะ ทั้งหมด เมื่อข้อมูลเหล่านี้เข้าสู่โลกออนไลน์ มันก็จะกลายเป็น Digital Footprint ที่เราไม่มีทางรู้เลยว่า ข้อมูลพิกัด หรือหน้าตาของลูกเราจะไปโผล่ที่ไหนบ้าง

เรารู้ โลกรู้ มิจฉาชีพก็รู้
แล้วยิ่งทุกวันนี้เทคโนโลยีมีการพัฒนาของ AI ไปไกลมากขึ้น เพียงแค่เจนภาพจากพรอมต์เดียวก็สร้างภาพได้ง่าย ๆ หรือทำ Deepfake สวมรอยเป็นลูกของคุณ เพื่อนำไปสร้างความเสียหายอื่น ๆ ได้อีกมาก
ซึ่งล่าสุด โฆษณารณรงค์จากประเทศไอร์แลนด์ที่กำลังเป็นไวรัลในขณะนี้ กับแคมเปญที่มีชื่อว่า “Pause before you post” (หยุดคิด ก่อนโพสต์)
ซึ่งสะท้อนความน่ากลัวของ Sharenting ได้อย่างชัดเจน โฆษณาชิ้นนี้ตอกย้ำว่า การที่เราเปิดเผยเรื่องราวของลูกมากเกินไป เราไม่มีทางคัดกรองได้เลยว่า ใครบ้างที่หวังดีกับลูกเราจริง ๆ และใครบ้างที่จ้องจะใช้ประโยชน์จากความไร้เดียงสานั้น
ผลกระทบจากการแชร์ข้อมูลของลูกในโลกออนไลน์
ไม่ใช่แค่เรื่อง Digital Footprint เท่านั้น ที่พ่อแม่ควรตระหนักรู้และให้ความสำคัญ แต่การโพสต์รูปลูกลงโซเชียลมีเดียนั้น ยังมีผลกระทบด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดผลร้ายมากกว่าแค่ลงรูป
- พวกใคร่เด็กในโลกออนไลน์ : ภาพ หรือวิดีโอ แม้บางคนจะแชร์ลงในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองก็จริง แต่เมื่อรูปถูกโพสต์ไปแล้ว ใครที่เห็นก็สามารถเซฟหรือแชร์ต่อได้เสมอ ซึ่งเสี่ยงมากที่ภาพเหล่านั้นจะหลุดไปถึงมือผู้ที่มีรสนิยมใคร่เด็ก หรือเอารูปไปใช้ในทางที่ผิด
- เรื่องของสิทธิและความยินยอม : ภาพน่ารัก ๆ ที่เราแชร์ด้วยความเอ็นดู อาจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกโดยไม่เจตนา เพราะเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ และไม่สามารถให้ความยินยอมได้ว่าเขาต้องการให้รูปของตัวเองไปปรากฏอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตหรือไม่
- เสี่ยงต่อการถูกลักพาตัว : ความคุ้นชินในการ “เช็กอิน” สถานที่ต่าง ๆ แบบ Real-time ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หรือสถานที่ท่องเที่ยว อาจกลายเป็นการชี้เป้าให้ผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพรู้ความเคลื่อนไหวและเข้าถึงตัวเด็กได้ง่ายขึ้น
ลดความเสี่ยงอันตรายจาก Sharenting
แม้ความเสี่ยงจะมีมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่จะต้องเลิกโพสต์รูปลูกไปเลยเสียทีเดียว เพียงแต่เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เพื่อให้พื้นที่ออนไลน์ยังเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำที่ดี โดยไม่ทำร้ายลูกในอนาคต
- ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว เปลี่ยนการตั้งค่าโพสต์จาก สาธารณะ เลือกเฉพาะกลุ่มเพื่อนคนสนิทเท่านั้น เพื่อจำกัดวงคนดูให้อยู่ในกลุ่มที่ไว้ใจได้
- หลีกเลี่ยงข้อมูลสำคัญ อย่างชื่อจริง-นามสกุล ป้ายชื่อบนเสื้อนักเรียน ตราสัญลักษณ์โรงเรียน หรือจุดสังเกตสำคัญบริเวณบ้าน เพื่อป้องกันการถูกตามรอยจากผู้ไม่หวังดี
- ไม่เช็กอิน Real-time หลีกเลี่ยงการเช็กอินสถานที่ที่ลูกไปเป็นประจำ เช่น โรงเรียน โรงเรียนสอนพิเศษ หรือสนามเด็กเล่นแถวบ้าน หรือหากต้องการเช็กอินจริง ๆ ให้โพสต์หลังจากที่กลับมาแล้ว
- ระวังภาพล่อแหลม เลี่ยงภาพวาบหวิว เช่น ตอนอาบน้ำ หรือไม่สวมเสื้อผ้า เพราะเสี่ยงมากที่จะถูกนำภาพไปใช้ในทางที่ไม่ดี แม้จะเป็นเด็กก็ตาม
- ใช้สติกเกอร์ หรือมุมกล้องช่วย การถ่ายจากด้านหลัง ด้านข้าง หรือการใช้สติกเกอร์น่ารัก ๆ ปิดบังใบหน้า ก็เป็นวิธีที่ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวได้ดี
- ถามความสมัครใจ หากลูกเริ่มโตพอที่จะสื่อสารได้ ควรขออนุญาตลูกทุกครั้งก่อนโพสต์ เพื่อปลูกฝังเรื่องสิทธิส่วนบุคคล และทำให้เขารู้สึกว่าพ่อแม่เคารพในตัวเขา
ในวันที่ลูกยังเล็ก เขาอาจไม่มีสิทธิเลือกหรือปฏิเสธกล้องที่ส่องมา แต่ในวันที่เขาโตขึ้น Digital Footprint ที่เราสร้างไว้อาจละเมิดสิทธิของลูกโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การแชร์และโพสต์อย่างมีสติ จึงไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย แต่คือการเคารพใน “สิทธิมนุษยชน” ขั้นพื้นฐานของลูกด้วยเช่นกัน