‘ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา’ หากพูดถึงช่วงเวลาที่เราต้องจากลาใครสักคน เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่คนนั้นมอบให้กับเรา ซึ่งสำหรับ บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) ในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง เขาได้มอบการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยความ ‘บันเทิง’ ในทุก ๆ บทบาทที่เขาได้รับ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นของขวัญที่เขามอบให้กับแฟนภาพยนตร์ทั่วโลก ตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพจำของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อวิลลิสนั้น มาจากบทบาทสุดบู๊ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Die Hard’ ที่กลายเป็นหลักไมล์สำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

แต่กว่าจะมีวันที่ปีนถึงยอดเขา ทุกคนล้วนแต่ต้องเริ่มจากพื้นเหมือนกันเสมอ ซึ่งตัววิลลิสก็เคยมีเส้นทางชีวิตสุดบู๊ ที่โหดไม่แพ้กับในหนังมาก่อนเหมือนกัน

Die Hard

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าวิลลิสมีชื่อจริงว่า ‘วอลเตอร์’ ส่วนชื่อ ‘บรูซ’ นั้นเป็นเพียงชื่อกลางของเขาเท่านั้น ซึ่งตอนเด็ก ๆ วิลลิสมักจะชอบให้คนอื่นเรียกเขาด้วยชื่อกลางมากกว่า จึงเป็นที่มาที่ทำให้เขาหันมาใช้ชื่อ ‘บรูซ’ ตั้งแต่นั้น

วิลลิสไม่ได้หลงรักการแสดง หรือมีความฝันที่อยากจะเป็นนักแสดงมาตั้งแต่ต้น ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เขาก็เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ชอบวิ่งเล่นซนตามประสา แต่แล้วชีวิตของเขากับเส้นทางการเป็นนักแสดงก็มาบรรจบกันโดยบังเอิญ

“การแสดงครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในค่ายลูกเสือนะ ตอนช่วงการแสดง ผมก็ออกมาเล่นตลกอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งคนดูก็ขำและให้ความสนใจ ณ ตอนนั้นแหละผมก็เริ่มจับทางได้ว่า ความรู้สึกแบบนี้นี่แหละใช่เลย”

วิลลิส สมัยไฮสคูล

ในช่วงเวลาเดียวกัน วิลลิสมีปัญหาเรื่องอาการพูดติดอ่างอย่างหนัก จนเขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง วิลลิสเผยว่าการใช้ชีวิตประจำวันของเขากลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นทุกวัน และด้วยความบังเอิญอีกนั่นแหละ วันหนึ่งเขาก็ค้นพบสิ่งที่จะช่วยให้เขาก้าวข้ามผ่านเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตไปได้ นั่นก็คือ ‘การแสดง’

“ในช่วงปีที่ผมเรียนลูกเสือ ผมพูดติดอ่างหนักมาก ๆ แต่แล้วผมก็ได้แสดงละครเวทีสักที่นี่แหละ การแสดงตอนนั้นมันทำให้ผมตัองจดจำคำพูดต่าง ๆ ซึ่งมันทำให้ผมไม่พูดติดอ่างเลย มันน่าอัศจรรย์มาก นั่นคือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ทำให้ผมเลิกพูดติดอ่าง ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองพิการด้วยซ้ำ ผมแทบจะพูดไม่ได้เลย แต่หลายคนไม่รู้นะ ว่าทุกวันนี้ผมก็ยังคงพูดติดอ่างกับบางคนอยู่เลย”

หากพูดถึงสองบทบาทที่สร้างชื่อเสียงให้กับวิลลิส ไม่แพ้กับ ‘Die Hard’ ก็คือบทจากซีรีส์เรื่อง ‘Moonlighting’ กับ ‘The Last Boy Scout’ ที่เขารับบทเป็น ‘นักสืบเอกชน’ ทั้งสองเรื่อง ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่า ก่อนที่เขาจะตัดสินใจมาเป็นนักแสดงอาชีพ ช่วงสมัยวัยรุ่นวิลลิสเคยทำงานเป็นนักสืบเอกชนมาก่อนจริง ๆ

 Striking Distance

นอกจากการรับงานสืบเรื่องชาวบ้านแล้ว วิลลิสยังเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคนขับรถบัสให้กับพนักงานในโรงงานมาแล้ว ซึ่งงานที่วิลลิสเคยทำมาทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นช่วงก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปศึกษาด้านการแสดงอย่างจริงจังที่มหาวิทยาลัยมอนต์แคล สเตท ในนิวเจอร์ซีย์

ในช่วงเรียนที่นิวเจอร์ซีย์ ระหว่างนั้นวิลลิสก็หันมาทำงานพาร์ตไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ในแมนฮัตตัน ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาจะเริ่มหางานแสดงเป็นตัวประกอบในโปรเจกต์หนังฟอร์มเล็กต่าง ๆ

ด้วยความสามารถในการแสดงที่โดดเด่น ทำให้วิลลิสสามารถก้าวขึ้นมารับบทนำใน ‘Moonlighting’ ซีรีส์แจ้งเกิดที่เขาได้เล่นคู่กับ ซีบิล เชพเพิร์ด (Cybill Shepherd) และประสบความสำเร็จอย่างมาก จนส่งให้เขาทั้งคู่สามารถคว้ารางวัลนำชาย/หญิง จากเวทีลูกโลกทองคำ ปี 1987 มาครองได้

วิลลิสกับเชพเพิร์ดใน ‘Moonlighting’

แต่หากพูดถึงจุดเปลี่ยนจริง ๆ ของวิลลิส คงต้องย้อนกลับไปพูดถึงการตัดสินใจมารับบท ‘จอห์น แม็คเคลน’ ในภาพยนตร์ ‘Die Hard’ ปี 1988 ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์ระดับแฟรนไชส์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนมีภาคต่ออีก 4 ภาคตามมา และทำรายได้รวมไปเกือบ 1,400 ล้านเหรียญ

“หนัง ‘Die Hard’ ทั้ง 5 ภาค เป็นหนังที่ดีนะ คุณจะเห็นสิ่งที่อยู่ในใจผม หรือสิ่งที่ผมอยากพูด ในปี 1988 ย้อนกลับไปในปีนั้นผมได้แสดงใน ‘Die Hard’ เพราะ ซีบิล เชพเพิร์ด ที่เราเล่นคู่กันในซีรีส์ดันท้อง มันก็เลยเป็นโอกาสที่ทำให้ผมลองได้ไปทำอย่างอื่นบ้าง ซึ่งแฟนผมในตอนนั้นเคยพูดว่า ‘คุณเล่นหนังเรื่องนี้ไม่ได้หรอก มันดูโหดและรุนแรงเกินไป’ และช่วงนั้นหนัง ‘Lethal Weapon’ ก็รอให้ผมตัดสินใจเล่นด้วยพอดี และเธอก็บอกผมอีกว่า ‘มันดูเป็นหนังที่รุนแรง แอ็กชันสุด ๆ เลยนะ คุณไม่ควรทำอะไรแบบนี้หรอก’ ซึ่งสุดท้ายในปีนั้น ผมก็ลงเอยด้วยการเล่นทั้งหนังตลกคู่รัก (Blind Date) และหนังโหด ๆ (Die Hard) ไปพร้อม ๆ กันเลย”

Die Hard
Die Hard

หลังความสำเร็จกับ ‘Die Hard’ ชื่อของวิลลิสก็ดังก้องไปทั่วโลก จนกลายมาเป็นหนึ่งในพระเอกสายแอ็กชันที่โด่งดังที่สุด เขาฝากฝีม้ายลายมือในการแสดงไว้กับภาพยนตร์อย่าง เช่น ‘Pulp Fiction’, ’12 Monkeys’, ‘The Sixth Sense’, ‘Armageddon’, ‘The Fifth Element’, ‘Unbreakable’, ‘Sin City’, ‘Red’, ‘Looper’, ‘Split’ และ ‘Death Wish’ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เป็นภาพยนตร์ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนหนังทั่วโลกจวบจนถึงทุกวันนี้

The Sixth Sense

คงไม่มีใครเชื่อหากจะบอกว่ากว่า 4 ทศวรรษที่วิลลิสคว่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มา เขายังไม่เคยแม้แต่จะมีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เลยสักครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งวิลลิสเคยออกมาเปิดเผยถึงการไม่เคยถูกเสนอชื่อไว้ว่า

“ผมไม่คิดเรื่องอะไรแบบนี้มากนักหรอก เวลานึกถึงอะไรแบบนี้ ผมจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับผม คุณไม่ได้ออสการ์หรอก ถ้ามันเป็นหนังตลก หรือถ้าคุณต้องยิงคนในหนังแบบนั้น มันก็ไม่มีทางได้หรอก ซึ่งทั้ง ‘Die Hard’ หรือ ‘Dirty Harry’ (ของคลินต์ อีสต์วูด – Clint Eastwood) มันมีแต่เรื่องราวที่เต็มไปด้วยอะไรแบบนั้นอะ”

Split

ล่าสุดครอบครัวของวิลลิสออกมาประกาศว่า วิลลิสจะรีไทร์จากการเป็นนักแสดง หลังเขาได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสูญเสียการสื่อความ หรือ โรคอะเฟเซีย (Aphasia) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการพูดหรือรับรู้คำพูด เนื่องจากความเสียหายทางสมอง

ก่อนจะมีอาการป่วย ครั้งหนึ่งวิลลิสเคยออกมาพูดถึงการทำงานหนักมามากกว่า 40 ปี ของตัวเองว่า แม้ทุกวันนี้ผู้คนจะรู้จักเขาในฐานะนักแสดง แต่เมื่อเขามองกลับมาที่ตัวเอง เขามักจะพบว่าตัวเองยังคงเป็นชายคนหนึ่งที่ชอบดูหนัง และยังคอยติดตามผลงานของนักแสดงคนอื่น ๆ อยู่เสมอ

“มันมีช่วงที่ผมคิดว่า ผมไม่ควรทำงานมากเกินไป แต่ผมก็ไม่เคยไปตั้งคำถามกับนักแสดงคนอื่น เกี่ยวกับอายุหรือสิ่งที่พวกเขากำลังทำในช่วงวัยนี้นะ ผมแค่คิดว่า ‘ว้าวพวกเขายังทำได้ดีเหมือนเดิมเลย’ อย่างถ้า แอนโทนี ฮ็อปกินส์ (Anthony Hopkins) เล่นหนัง ผมก็จะคอยตามดูเลยนะ ทุกวันนี้ผมก็ยังไปโรงหนังอยู่ เพราะผมยังเป็นแฟนหนังคนหนึ่งอยู่”

Death Wish

ตลอดเส้นทางวิลลิสผ่านผลงานการแสดงมากกว่า 100 เรื่อง ซึ่งภาพยนตร์ของเขาสามารถทำเงินรวมกันจากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกได้มากกว่า 5,000 ล้านเหรียญ

วิลลิสเคยถูกถามว่า ตลอดการดำรงชีพเป็นนักแสดง เขาใช้คติอะไรในการขับเคลื่อนชีวิต ซึ่งวิลลิสตอบว่าคติของเขา คือการมีชีวิตอยู่เพื่อได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ที่สุด

“’จงมีชีวิตอยู่ เพื่อการออกไปใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด’ นี่คือคติที่ผมใกล้เคียงกับความเป็นผมที่สุด มันใช้ได้เกือบจะทุกอย่างในชีวิตเลยนะ”

บรูซ วิลลิส

(จากซ้าย) รูเมอร์ วิลลิส, อดีตภรรยา เดมี มัวร์, บรูซ วิลลิส, สเกาต์ วิลลิส, ภรรยาคนปัจจุบัน เอ็มมา เฮมิง วิลลิส และทัลลูลาห์ วิลลิส

อ้างอิง อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส