ในยุคนี้อย่างที่ทราบกันดีว่า ความหลากหลายทางเพศนั้นกำลังเป็นความจริงใหม่ที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ วงการ เรื่อยจนไปถึงวงการบันเทิง แม้สื่ออย่างภาพยนตร์จะมีพื้นที่ให้กับ LGBTQIA+ หรือคนที่มีความหลากหลายทางเพศมานานแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามในวงการภาพยนตร์อยู่เสมอ ถึงการนำเสนอเรื่องราวของพวกเขา

โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องราวของคนที่มีความหลากหลายทางเพศจากมุมมองที่คลาดเคลื่อน หรือแม้แต่ข้อถกเถียงที่ว่า ควรมีการนำคนที่มีความหลากหลายทางเพศมาแสดงในบทบาทนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ในแง่ที่ว่า คนที่มีรสนิยมชอบเพศตรงข้าม อาจไม่สามารถถ่ายทอดบทบาท LGBTQIA+ ได้อย่างเข้าถึงและอินเท่ากับนักแสดงที่เป็น LGBTQIA+ อยู่แล้ว

Tom Hanks
ทอม แฮงก์ส ในภาพยนตร์ ‘Philadelphia’ (1993)

ล่าสุด นักแสดงฮอลลีวูดฝีมือเก๋าขวัญใจชาวประชาอย่าง ‘ทอม แฮงก์ส’ (Tom Hanks) วัย 65 ปี ก็ได้แสดงออกเกี่ยวกับการนำเสนอเรื่องราวความหลากหลายทางเพศที่น่าสนใจ และน่าเอาไปคิดต่อ ผ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในเว็บไซต์ The New York Times โดยเฉพาะบทบาทของเขาในภาพยนตร์เรื่อง ‘Philadelphia’ (1993) ที่เขาต้องรับบทเป็นทนายความในสำนักงานกฏหมายแห่งฟิลาเดเฟีย ที่ต้องปกปิดรสนิยมทางเพศที่เป็นเกย์ และป่วยเป็นโรคเอดส์ (AIDS) ของตัวเองเพื่อไม่ให้กระทบกับหน้าที่การงาน

ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ได้ถามกับแฮงก์สว่า เขาคิดอย่างไรกับบทบาททั้งสองเรื่องนี้ของเขา โดยเฉพาะบทบาทที่ทำให้เขาได้รับออสการ์ทั้ง 2 ครั้ง ก็ล้วนได้มาจากบทบาทเกย์ (‘Philadelphia’) และบทคนที่เป็นออทิสติก (‘Forrest Gump’) โดยเขาได้เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน เขาจะไม่ยอมรับแสดงบทบาทเกย์อีกต่อไปแล้ว

และเขามองว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น คนที่เป็นสเตรท (Straight – คนที่มีรสนิยมชอบเพศตรงข้าม) ก็ไม่ควรเล่นเป็นตัวละครที่เป็นเกย์ (หรือในทำนองเดียวกัน ก็ไม่ควรเอาคนปกติมาแสดงเป็นคนที่เป็นออทิสติกด้วย) อีกต่อไป โดยเขาได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า

“อันนี้ผมพูดตรง ๆ นะว่า ผู้ชายที่เป็นสเตรทจะมารับบทแบบที่ผมแสดงใน ‘Philadelphia’ ได้ไหม คำตอบก็คือไม่และนั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วล่ะ สิ่งที่ทำให้ Philadelphia ยังมีคนชื่นชอบอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะว่ามันดูไม่น่ากลัวต่างหาก

Tom Hanks
ทอม แฮงก์ส และ เดนเซล วอชิงตัน (Denzel Washington) ในภาพยนตร์ ‘Philadelphia’ (1993)

“เหตุผลหนึ่งที่ผู้คนไม่เกลียดกลัวหนังเรื่องนั้น เป็นเพราะว่าตัวผมที่ได้แสดงเป็นเกย์ แต่ตอนนี้เราไปไกลกว่านั้นมากแล้ว และผมไม่คิดว่าผู้คนยุคนี้จะยอมรับความปลอมของชายแท้ที่ต้องรับบทเป็นเกย์ในแบบที่ผมเคยทำ

“ถ้าเป็นตอนนี้นะ นักแสดงที่เป็นสเตรทคงไม่มีทางที่จะได้รับการคัดเลือกให้แสดงในหนัง Philadelphia อย่างแน่นอน ถ้าเป็นตอนนี้ ผมคงถูกเอาไปล้อและสับเละบนโซเชียลมีเดียก่อนที่จะมีโอกาสได้ดูซะอีก เพราะตอนนี้คุณไม่สามารถจะทำอะไรแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้ว

“มันไม่ใช่อาชญากรรม ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอะไรทั้งนั้น ถ้ามีใครบางคนจะบอกว่า เราควรเรียกร้องให้ภาพยนตร์เพิ่มความเป็นจริงแบบใหม่ ๆ ให้มากยิ่งขึ้นกว่านี้…นี่ผมกำลังเทศนาอยู่รึเปล่าเนี่ย โทษทีไม่ได้ตั้งใจ”

Tom Hanks
โปสเตอร์ภาพยนตร์ ‘Philadelphia’ (1993)

‘Philadelphia’ (1993) เป็นภาพยนตร์แนวดราม่ากฏหมาย ผลงานการกำกับภาพยนตร์โดย โจนาธาน เดมมี (Jonathan Demme) ที่เคยสร้างชื่อจากภาพยนตร์สยองขวัญ ‘The Silence of the Lambs’ (1991) และ ‘Stop Making Sense’ (1984) ภาพยนตร์บันทึกการแสดงสดของวงดนตรี ‘Talking Heads’

ตัวบทภาพยนตร์ได้แรงบันดายใจจากเหตุการณ์จริงของทนายความที่ฟ้องสำนักงานกฏหมายของตัวเองในข้อหาเลิกจ้างโดยมิชอบ หลังจากที่เขาถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมหลังจากที่เขาถูกเปิดเผยว่าเป็นเกย์ และเป็นโรคเอดส์ โดยทนายผู้นั้นชนะคดีในที่สุด ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

จริง ๆ แล้วบทนี้ไม่ได้เป็นของแฮงก์สตั้งแต่แรกตั้งแต่ก่อนถ่ายทำ แต่ตัวเลือกแรกของทีมงานคือ ‘แดเนียล เดย์-ลูอิส’ (Daniel Day-Lewis) ที่เพิ่งผ่านงานแสดงในภาพยนตร์โรแมนติกพีเรียด ‘The Age of Innocence’ (1993) ดำกับโดย ‘มาร์ติน สกอร์เซซี’ (Martin Scorsese) แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธ ก่อนที่บทนี้จะมาตกเป็นของแฮงก์ส โดยเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ที่เขาได้รับบทนี้ก็เพราะว่า เขามีบุคลิกที่ดูไม่น่ากลัวบนจอภาพยนตร์ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละครที่เป็นเกย์และติดเชื้อ HIV

Tom Hanks
ทอม แฮงก์ส ขณะรับรางวัลออสการ์ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ ‘Philadelphia’ (1993)

ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดฉายรอบปฐมทัศน์ในวันที่ 14 ธันวาคม 1993 โดยมีการมอบรายได้จากการจัดฉายเพื่อองค์กรที่ดูแลเกี่ยวกับโรคเอดส์ และมีการฉายแบบจำกัดโรง ก่อนจะมีการเพิ่มโรงฉายในเดือนถัดมา นอกจากนี้ ‘Philadelphia’ ยังเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรก ๆ ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเกย์ และโรคเอดส์บนแผ่นฟิล์ม ด้วยงบประมาณตามมาตรฐานหนังฮอลลีวูด และใช้นักแสดงดัง ๆ มาร่วมแสดง ในยุคในยามที่คนสมัยนั้นยังคงมีทัศนคติต่อเกย์ว่าเป็นเรื่องประหลาดผิดเพศ และมีความรู้สึกเกลียดกลัวโรคเอดส์ และคนที่เป็นโรคเอดส์ เนื่องจากในสมัยนั้น ยังเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ติดแล้วตายสถานเดียว

Tom Hanks
ทอม แฮงก์ส กับรางวัลออสการ์ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ ‘Philadelphia’ (1993)

ตัวหนังได้รับคำชื่นชมพอสมควร แต่ที่เรียกได้ว่าแจ้งเกิดก็คือแฮงก์ส ที่ตีบททนายความ ‘แอนดรูว์ แบ็กเกตต์’ (Andrew Beckett) ได้แตก จนสามารถคว้ารางวัลสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม (Best Actor) จากงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 66 ประจำปี 1994 เป็นครั้งแรกในชีวิต ก่อนที่เขาจะขอจองรางวัลเดียวกันนี้ต่ออีก 1 ปี จากผลงานภาพยนตร์ในตำนานอย่าง ‘Forrest Gump’ (1994) ที่ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับ และดาราฮอลลีวูดขวัญใจมหาชนมาจนทุกวันนี้


ที่มา: The New York Times, The Hollywood Reporter, DailyMail, Wikipedia