ความน่าสนใจ น่าติดตาม และของภาพยนตร์ ‘Prey’ นอกจากความสนุกจากเรื่องราวของ ‘นารู’ (Naru) หญิงสาวแห่งโคแมนชี (Comanche) ชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกาในศตวรรษที่ 17 ที่มีอาวุธเพียงแค่มีด ธนู หอก ขวาน และจิตใจแห่งความเป็นนักล่า ที่ต้องรับมือกับภัยคุกคามจากนอกโลกอย่างพรีเดเตอร์ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเผ่าพันธ์ุ ‘ยวตจา’ (ํYautja) ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและอาวุธล้ำสมัยแล้ว
อีกความน่าสนใจ ก็คงหนีไม่พ้นการที่ตัวมันเองเป็นหนังภาพยนตร์พรีเควล (Prequel) จากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ไซไฟแอ็กชัน ‘พรีเดเตอร์’ (Predator) ที่อิงมาจากตำนานของเหล่ายวตจาที่ถูกเล่าขานว่า พวกมันเคยมาเยือนโลกตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตกาลแล้ว ทำให้ตัวเนื้อเรื่องตามไทม์ไลน์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการบุกของพรีเดเตอร์กลางป่าในภาพยนตร์ ‘Predator’ (1987) ที่นำแสดงโดย อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) มากถึง 300 ปี


ด้วยความสำเร็จของภาคแรก จึงทำให้มีการสร้างภาพยนตร์ภาคอื่น ๆ ต่อมาอีกหลายภาค และ ‘Prey’ ก็ได้เลือกที่จะใช้ความคุ้นเคยจากแฟรนไชส์พรีเดเตอร์ ด้วยการหยิบเอา Easter Egg หรือจุดสังเกตจากหนังภาคก่อน ๆ เอามาผสานกับเรื่องราวจากโลกยุคโบราณได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือ ไม่หลุดโทนจากการเล่าเรื่องและยุคสมัย ทำให้หนังเรื่องนี้นอกจากจะผสานเรื่องราวที่ดูง่ายสำหรับทุกคนแล้ว ก็ยังมี Easter Egg ที่ชวนให้แฟน ๆ ได้ร้องอ๋อและกรี๊ดกันอย่างไม่ขัดเขิน
SPOILER ALERT! – เนื้อหาในบทความนี้ มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ ‘Prey’ (2022) และอาจมีการเปิดเผยเรื่องราวภาพยนตร์จากแฟรนไชส์พรีเดเตอร์ ได้แก่ ‘Predator’ (1987), ‘Predator 2’ (1990), ‘Predators’ (2010), ‘The Predator’ (2018), ‘Alien vs. Predator’ (2004) และ ‘Aliens vs. Predator: Requiem’ (2007)
รูปลักษณ์ของพรีเดเตอร์


แม้รูปร่างของพรีเดเตอร์จะปรากฏแบบเต็ม ๆ ก็ปาเข้าไปกลาง ๆ เรื่องแล้ว (เพราะตอนแรกมักจะปรากฏตัวในโหมดล่องหนเสียเป็นส่วนใหญ่) แต่ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะพบว่า แม้ภาพลักษณ์ของพรีเดเตอร์ในเรื่องนี้จะยังคงมีความคล้ายคลึงพรีเดเตอร์ภาคภาคก่อน ๆ ทั้งใน ‘Predator’ (1987) และ ‘Predator 2’ (1990) แต่ก็มีการปรับแปลงในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะความดุดันและว่องไวที่มากขึ้น
แดน แทชแทนเบิร์ก (Dan Trachtenberg) ผู้กำกับภาพยนตร์ได้เปิดเผยเกี่ยวกับดีไซน์และการออกแบบของพรีเดเตอร์ใน Prey ว่า “สำหรับเวอร์ชันนี้ ผมอยากทำให้พรีเดเตอร์เป็นเวอร์ชันที่มีความดุมากขึ้น ดูมีความเป็นสัตว์ที่ดุร้ายกว่าเวอร์ชันที่เคยเห็นมาก่อน มันฉลาดและมีเทคโนโลยีทันสมัยจนยากที่จะมีคนมาเอาชนะมันได้”
“แต่ด้วยความที่หนังนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนในอดีต เทคโนโลยีพวกนั้นเลยต้องทำให้มีความรู้สึกเก่ากว่าสิ่งที่เราเคยเห็นกัน แต่ก็ยังคงล้ำสมัยกว่าสิ่งที่เราคิดว่ามนุษย์จะรับมือมันได้ ผมอยากให้พรีเดเตอร์เวอร์ชันนี้มีส่วนหัวที่ได้สัดส่วนกับร่างกายมากขึ้น มีความเพรียวมากขึ้น และมีเกราะน้อยชิ้นกว่าเวอร์ชันก่อน ๆ มีความเป็นสัตว์ประหลาดที่ตัวใหญ่และดุร้าย”
พรีเดเตอร์อาบเลือด


นารูพบกับพรีเดเตอร์ (แสดงโดย เดน ดิลิเอโกร (Dane DiLiegro)) ตัวเป็น ๆ ครั้งแรกตอนที่เธอหนีการไล่ล่าของหมีกรีซลีตัวใหญ่ที่กำลังกินกวางอยู่ริมแม่น้ำ ‘นารู’ (นำแสดงโดย แอมเบอร์ มิดธันเดอร์ (Amber Midthunder)) และสุนัขของเธอที่ชื่อว่า ซารี (Sari) แอบซุ่มอยู่ไม่ไกล นารูจึงตัดสินใจใช้ธนูยิงหมี แต่สายธนูกลับขาด ทำให้หมีกลับพบเห็นเธอเข้า นารูจึงต้องวิ่งหนีหมีเข้าไปแอบซ่อนในกองซากไม้ซึ่งเป็นรังของตัวบีเวอร์ใกล้ ๆ บึงน้ำ
แต่กลายเป็นว่า หมีตัวยักษ์นั้นกลับโดนพรีเดเตอร์ (โหมดล่องหน) บุกเข้ามาฆ่าหมีด้วยมือเปล่า และแบกยกขึ้นเหนือหัว ในขณะที่เลือดของหมีกำลังไหลอาบทั่วร่างกาย ทำให้นารูได้มีโอกาสเห็นร่างของพรีเดเตอร์ที่ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก ฉากนี้สามารถอ้างอิงไปถึงฉากที่พรีเดเตอร์ปรากฏตัวอย่างน่าสยดสยองเป็นครั้งแรก หลังจากที่มันถูกเลือดมนุษย์อาบร่างใน ‘The Predator’ (2018)
ว่ายหนีตายลงน้ำตก


หลังจากที่นารูได้พบพรีเดเตอร์ที่กำลังสังหารหมีกรีซลี นารูจึงกระโดดลงไปยังแม่น้ำเพื่อว่ายน้ำหลบหนี แต่แล้วพรีเดเตอร์ก็สแกนพบคลื่นความร้อนของเธอจนได้ เธอพยายามว่ายตามกระแสน้ำไปยังลำธารที่เป็นน้ำตกก่อนจะขึ้นฝั่งได้สำเร็จ ซึ่งฉากน้ำตกนี้ สามารถอ้างอิงถึงฉากที่ผู้พันดัตช์หลบหนีด้วยการกระโดดลงไปในน้ำตก ที่ปรากฏครั้งแรกใน ‘Predator’ (1987) และฉากที่ตัวละครหลัก ๆ กระโดดหนีลงน้ำตกอีกครั้งใน ‘Predators’ (2010)
พรางตัวด้วยโคลน


ในฉากหนึ่ง นารูที่กำลังตามล่าหาพรีเดเตอร์ในป่า ได้เดินพลัดหลงเข้าไปในพื้นที่ปกคลุมด้วยหญ้า แต่กลับกลายเป็นว่าใต้พื้นหญ้านั้นมีบึงโคลนอยู่ เธอเกือบโดนบึงโคลนดูดจนเกือบจมน้ำ จึงได้ใช้ขวานที่ผูกเชือกโยนเข้ากับซากไม้เพื่อดึงตัวเองออกมา
ซึ่งฉากนี้สามารถอ้างอิงไปถึงฉากของ ‘พันตรีอลัน “ดัตช์” เชฟเฟอร์’ (Alan “Dutch” Schaefer) ใน ‘Predator’ (1987) ที่ว่ายน้ำหนีออกมาจากน้ำตก ตัวของเขาเต็มไปด้วยโคลน ก่อนที่จะขึ้นฝั่งมาหลบอยู่ที่ซากต้นไม้ แต่พรีเดเตอร์กลับมองไม่เห็นเขา ดัตช์จึงได้ค้นพบว่า โคลนที่มีความเย็น สามารถใช้ปกปิดร่างกายเพื่อพรางตัวจากตัวตรวจจับคลื่นความร้อนของพรีเดเตอร์ได้
รอยกรีดของทาเบ


ในภาพยนตร์ ‘Prey’ ขณะที่นารูกำลังหลบหนีการตามไล่ล่าของผู้รุกรานชาวยุโรป (ที่โดนพรีเดเตอร์ไล่ล่าอีกที) เธอพบว่า ผู้รุกรานได้จับตัว ‘ทาเบ’ (Taabe) (นำแสดงโดย ดาโกตา บีเวอร์ส (Dakota Beavers)) พี่ชายของเธอเอาไว้ พวกเขาบังคับให้เธอพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้เกี่ยวกับพรีเดเตอร์ เธอปฏิเสธ ผู้รุกรานจึงได้ใช้มีดกรีดที่หน้าอกของทาเบตามแนวทแยงจนเกิดบาดแผล
แฟน ๆ พรีเดเตอร์ที่เห็นการกรีดนี้ น่าจะจำได้ว่า ใน ‘Predator’ (1987) ก็มีการกรีดในรูปแบบเดียวกัน โดยตัวละครอย่าง ‘บิลลี’ (Billy) (นำแสดงโดย ซันนี แลนดัม (Sonny Landham)) หนึ่งในทีมผู้ติดตามของผู้พันดัตช์ ที่ตัดสินใจใช้มีดกรีดหน้าอกตัวเองเป็นแนวทแยง เพื่อเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อพรีเดเตอร์ ซึ่งผู้กำกับอย่างแทชแทนเบิร์กเผยว่า เขาประทับใจกับตัวละครของบิลลีเป็นพิเศษ เลยใส่เข้ามาเป็น Easter Egg เล็ก ๆ
“ถ้าเลือดมันไหลได้ เราก็ฆ่ามันได้”


อีกหนึ่ง Easter Egg ใน ‘Predator’ (1987) ที่ถูกหยิบเอามาใส่ใน ‘Prey’ ก็คือประโยคที่ทาเบ ได้พูดกับนารู ตอนที่ทั้งคู่ถูกผู้รุกรานชาวยุโรปจับผูกติดกับต้นไม้เพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อพรีเดเตอร์ ในตอนนั้น นารูได้ระบายกับพี่ชายของเธอว่า เธอไม่รู้ว่าจะต่อสู้กับพรีเดเตอร์อย่างไร ทาเบจึงตอบกลับเธอว่า “ถ้าเลือดมันไหล เราก็ฆ่ามันได้”
ประโยคนี้เป็นประโยคดัง (และแน่นอนว่ากลายเป็นมีม) ที่อ้างอิงมาจากภาพยนตร์ ‘Predator’ ภาคแรก หลังจากที่ผู้พันดัตช์ได้เห็นเลือดสีเขียวของพรีเดเตอร์กระจายเลอะตามใบไม้ ต้นไม้ในบริเวณป่า
เขาตระหนักได้ว่า พรีเดเตอร์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่สามารถบาดเจ็บได้เหมือนกัน ไม่ใช่เทพเจ้าหรือสิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจเก่งกาจจนไม่อาจจะต่อกรได้ เขาจึงพูดประโยคนี้เพื่อปลุกใจแก่ทีมของเขาว่า “ถ้าเลือดมันไหลได้ เราก็ฆ่ามันได้” (“If It Bleeds, We Can Kill It”)
กะโหลกที่ระลึก


ตามธรรมเนียมของพรีเดเตอร์ หรือนักล่าแห่งเผ่ายวตจา เมื่อทำการล่าสังหารสิ่งมีชีวิตแล้ว ก็มักจะเก็บกะโหลกของสิ่งมีชีวิตที่มันล่าได้ไว้เสมือนเป็นรางวัลหรือของที่ระลึก ใน ‘Prey’ เราจะได้เห็นพรีเดเตอร์ที่สังหารสุนัขป่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยการเฉือนร่างกายจนเหลือแต่กระโหลกและกระดูกสันหลัง พรีเดเตอร์นำเอาหัวของสุนัขป่าตัวนั้นมาฉีดด้วยสารบางอย่างที่มีลักษณะเป็นละอองเพื่อละลายเนื้อ หนัง ไขมันออกไปจนเหลือแต่เพียงกะโหลก ก่อนที่พรีเดเตอร์จะเอากะโหลกนั้นมาแขวนประดับไว้กับตัว
ในธรรมเนียมนี้ก็มีปรากฏในภาพยนตร์ ‘Predator 2’ (1990) ด้วยเช่นกัน บนยานของพรีเดเตอร์ เราจะได้เห็นกะโหลกของสิ่งมีชีวิตที่ถูกประดับประดาเอาไว้ รวมถึงกะโหลกมนุษย์ (ถ้าสังเกตดี ๆ จะมีกะโหลกเอเลียนด้วย) ใน ‘Prey’ จะเห็นได้ว่า กะโหลกของสุนัขป่าตัวนั้นไม่ได้รับการทำความสะอาดและตกแต่งอย่างเงางามมากนัก ต่างจากกับกะโหลกมนุษย์ใน ‘Predator 2’ ที่ดูสะอาดเงางามกว่ามาก ซึ่งก็มีความสมเหตุสมผลที่พรีเดเตอร์ในยุคนั้น อาจจะเพิ่งเรียนรู้การสะสมกะโหลกของเหยื่อไว้เป็นรางวัล และยังไม่ได้มีเทคโนโลยีหรือภูมิปัญญาในการขัดตกแต่งกะโหลกให้สะอาดเงางามมากขึ้นได้เหมือนกับคอลเล็กชันกะโหลกใน ‘Predator 2’