ใน ‘Killers of the Flower Moon’ ผลงานภาพยนตร์อาชญากรรมแนวตะวันตก ผลงานใหม่ล่าสุดของปู่มาร์ตี้ มาร์ติน สกอร์เซซี (Matin Scorsese) และการกลับมาร่วมงานของ 2 คู่บุญ 2 รุ่น ทั้ง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) และ โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert de Niro) ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความโลภ ในคดีฆาตกรรมชาวพื้นเมืองโอเสจในช่วงยุค 1920 ที่กลายมาเป็นจุดกำเนิดของหน่วยงาน FBI หรือหน่วยสอบสวนกลาง ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือ ‘Killers of the Flower Moon: The Osage Murders and the Birth of the FBI’ ของ เดวิด แกรน (David Grann)

ซึ่งถ้าหากใครที่มีโอกาสอ่านหนังสือและชมภาพยนตร์ที่เพิ่งเข้าฉายไปแล้ว ก็จะพบว่ามีความแตกต่างในแง่ของมุมมองการเล่าเรื่องอย่างมีนัยสำคัญ เพราะจากในหนังสือจะเป็นการเล่าจากมุมมองการทำงานของเจ้าหน้าที่ FBI ส่วนในหนังจะเป็นการเล่าจากมุมมองของชาวโอเสจ หลังจากที่เกิดเหตุมีเศรษฐีชาวโอเสจถูกฆาตกรรมอย่างลึกลับและไม่สามารถสรุปคดีความได้ ซึ่งเบื้องหลังการเกลาบทใหม่ทั้งหมดนี้ก็เป็นไอเดียของทั้งสกอร์เซซี และดิแคพรีโอที่พ่วงตำแหน่ง Executive Producer ด้วยนั่นเอง

Killers of the Flower Moon Courtesy of Apple TV+ © 2023

โดยทั้งสกอร์เซซี และดิแคพรีโอได้ค้นพบและเห็นตรงกันว่า เรื่องราวจากหนังสือที่สกอร์เซซี ดัดแปลงร่วมกับ อีริก รอธ (Eric Roth) มือเขียนบทร่วมจากจาก ‘Forrest Gump’ (1994) นั้นมีมุมมองจากฟากฝั่งของ FBI ที่มีความเป็น ‘คนขาว’ อยู่มากพอสมควร ทำให้สกอร์เซซีตัดสินใจเกลาบทใหม่ทั้งหมดโดยใช้เรื่องราวความรักที่แอบแฝงจุดประสงค์ของ เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต และ มอลลี ไคล (ลิลลี แกลดสโตน – Lily Gladstone) ด้วยการให้ดิแคพรีโอ ที่แต่เดิมจะได้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ FBI สลับไปรับบทเป็นเออร์เนสต์ และได้ และได้ เจสซี พลีมอนส์ (Jesse Plemons) มารับบท ทอม ไวต์ เจ้าหน้าที่ FBI แทน

ดิแคพรีโอกล่าวถึงการดัดแปลงบทหนังเรื่องนี้กับ British Vogue ว่า “ผมรู้สึกว่า มันยังไม่ใช่สิ่งที่เราเข้าถึงหัวใจของมันครับ เรายังไม่ได้ลงลึกดิ่งเข้าไปในเรื่องราวของชาวโอเสจเท่าไหร่เลย มีฉากแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างมอลลี กับเออร์เนสต์ที่กระตุกอารมณ์ตอนที่อ่านจากหนังสือ และเราก็เพิ่งเริ่มเจาะลึกเข้าไปว่า จริง ๆ แล้วความสัมพันธ์เหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่ เพราะมันทั้งบิดเบี้ยวและแปลกประหลาดสุด ๆ ไม่เหมือนกับอะไรที่ผมเคยเจอมาก่อน”

Killers of the Flower Moon

สกอร์เซซีได้กล่าวถึงการเกลาบทใหม่นี้ว่า “พอถึงจุดหนึ่งผมก็เล็งเห็นว่า ผมกำลังทำหนังเกี่ยวกับคนขาวนี่หว่า หมายความว่า ผมกำลังเล่าเรื่องจากคนนอกที่มองเข้าไปข้างใน ซึ่งทำให้ผมกังวลใจ ตัวผมและรอธคุยกันถึงการเล่าเรื่องจากมุมมองของเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาสืบสวน

จนกระทั่ง 2 ปีที่เขียนบท ลีโอก็เข้ามาถามผมว่า ‘อะไรเป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้เหรอ ? ‘ ผมที่เคยนั่งคุยและกินข้าวกับชาวโอเสจแล้วก็เลยคิดได้ว่า นี่แหละคือเรื่องราว เรื่องราวที่ไม่จำเป็นต้องเล่าจากคนภายนอก จากมุมมองของรัฐเสมอไป แต่ควรจะมาจากเรื่องราวที่อยู่ภายในรัฐโอคลาโฮมาต่างหาก”

แต่การขัดเกลาบทใหม่หมดนั้นก็ไม่ได้ราบรื่นมากนัก เพราะการปรับบทให้ดิแคพรีโอรับบทเทา ๆ นั้นทำให้ ผู้บริหารของ Paramount Pictures มองว่าหนังเรื่องนี้อาจขายได้น้อยลง ทำให้น่าจะใช้งบประมาณน้อยลงตามไปด้วย ทำให้สกอร์เซซีตัดสินใจแยกทางกับ Paramount

ก่อนที่ Apple Studios จะเป็นผู้เสนอให้ทุนสร้างจำนวน 200 ล้านเหรียญกับหนังเรื่องนี้ ก่อนที่ Paramount จะกลับมาร่วมงานอีกครั้งในฐานะผู้จัดจำหน่ายหนังในโรงภาพยนตร์ ก่อนที่หนังจะเข้าไปเป็น Original Content บนแพลตฟอร์ม Apple TV+ หลังจากออกจากโรงแล้วต่อไป


ที่มา: Variety, Variety (2), The Hollywood Reporter, The Wall Street Journal

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส