ตอนที่เราเรียนอยู่ ก็ได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ ของคนที่เรียนจบไปจำนวนมาก พี่คนนู้นบอกแบบนั้น พี่คนนี้บอกแบบนี้ โอ้ววว ชีวิตซับซ้อนจัง เราจะเชื่อใครดีล่ะ ??

บีเองก็เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ ทำงานได้แป้ปนึง แต่โชคดีที่ได้ทำงานกับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการรับคนเข้าทำงานในบริษัทต่างๆ เลยทำให้มีโอกาสได้เห็นการรับคนเข้าทำงาน ความต้องการของ HR หรือสิ่งที่บริษัทต่างๆ มองหาในตัวผู้สมัคร บีเลยอยากจะเอาความลับเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มาเล่าให้น้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย และมีเวลาเตรียมตัวเยอะ ได้ฟังกันค่ะ

เกรดและเกียรตินิยมไม่ได้สำคัญขนาดนั้น

ตอนเข้ามาเรียนปี1 ใหม่ๆ สิ่งที่บีคิดคือ

“ฉันต้องได้เกียรตินิยมให้ได้”

และในที่สุดบีก็คว้ามาได้แบบทรหด แต่ก็ต้องสะดุ้งนิดหนึ่ง เมื่อรู้ว่า ไอ้เจ้าเกียรตินิยมของเราเนี่ย ไม่ได้เป็นอันดับแรกที่บริษัทต่างๆ เลือกเราเข้าทำงานสักหน่อย แถมบางบริษัทอาจจะไม่ได้สนใจมันด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าเกียรตินิยมของเรา คือศักยภาพของเราจริงๆ มากกว่า ว่าเราสามารถทำประโยชน์อะไรให้บริษัทได้บ้าง ซึ่งแน่นอนว่า ประสบการณ์และทัศนคตินี่แหละ ที่จะพาคุณไปถึงเป้าหมายนั้น! ดังนั้นเกรดไม่ดีไม่เป็นไร แต่ประสบการณ์ที่ทำระหว่างเรียน ต้องมี!

10507058_10201626198376834_5478319096117023204_o

กิจกรรมห้ามทิ้ง สำคัญยิ่งกว่าแฟน

หลายคนทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างขะมักเขม้น ซึ่งบีว่ามันดีมากเพราะนอกจากจะทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความหลากหลายในสังคมแล้ว ยังทำให้เราได้เรียนรู้ถึงการรับมือกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆด้วย (จำกันได้มั้ยล่ะ มีกิจกรรมทีไร ดราม่ามาทุกที) ยังรวมไปถึงฝึกความอดทน ที่เราจะได้ฝึกเมื่อเราทำกิจกรรมต่างๆ ด้วย ซึ่งทักษะเหล่านี้แหละ คือสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงค่ะ

ฝึก(ทำ)งานสำคัญ ยิ่งกว่าใดๆ

คณะไหนที่บังคับให้ฝึกงาน บีว่าโชคดีมาก!! เพราะจะได้เรียนรู้การทำงานจริงๆ การปรับตัว และโลกทัศน์จะกว้างขึ้นมาก แต่บางคณะก็ไม่ได้บังคับให้นักศึกษาฝึกงานในหลักสูตร แต่มันคงจะดี หากตัดสินใจตั้งแต่ตอนเรียนว่า ควรไปฝึกงานกับบริษัทสักแห่งสัก 3-4 เดือนในช่วงปิดเทอม เพราะนอกจากจะทำให้มีพอร์ตเก๋ๆ ไว้ตอนสมัครงานแล้ว (ซึ่งนี่แหละ คือโอกาสในการเอาไปเขียนว่าเรามีประสบการณ์การทำงานยังไงบ้าง) ยังจะทำให้เราได้ศึกษาการใช้ชีวิตจริงด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกความอดทน (Internship โดนใช้งานหนักจะตาย ใครๆ ก็รู้) ฝึกการเข้ากับสังคม หรือจะเป็นการตีเนียนแอบศึกษาความรู้กับพี่ในแผนกต่างๆ  

จริงๆ บีว่า ถ้าไม่มีโอกาสได้ฝึกงาน ทำงานจริงๆ ในช่วงปิดเทอมก็ดีมากๆ เหมือนกัน รับจ๊อบเสริมเข้าไป ได้ทั้งเงิน ได้ฝึกตัวเองอีก ยิ่งกว่าคุ้ม!!!

เส้นไม่มี ไม่เป็นไร ยังมีบริษัทดีๆ อีกเยอะ

หลายๆ คน คิดว่าการไม่มีเส้น ทำให้ตัวเองไม่มีงานดีๆ ทำ บีขอเถียงขาดใจ!! เรื่องเส้นเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ในสังคมเราจริงๆ (อุ้ปส์) แต่เราสามารถสร้างตัวเองให้มีความสามารถ และหาโอกาสดีๆ ให้กับตัวเองได้ค่ะ ขอแค่อย่างมัวจับจดว่า “เราไม่มีเส้น เราสู้คนอื่นไม่ได้” บีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เลย จำไว้ว่า ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความสามารถของเรา และเมื่อโอกาสดีๆ มาถึง ก็วิ่งไปคว้ามันซะ แต่ถ้าโอกาสไม่มาหาเรา เราก็สร้างโอกาสด้วยมือเราเองค่ะ สู้! ดังนั้น 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย อย่าลืมสร้างโอกาสให้กับตัวเองเยอะๆ ล่ะ

14115445_10205234117772564_2878546493168389033_o

การเรียนก็สำคัญ แต่ต้องรู้จักแบ่งปันให้กับคนอื่น

แน่นอนว่า เวลาที่เราเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น สิ่งที่เราคาดหวังคือเกรดสวยๆ (แต่หลายคงก็คิดแค่ว่า ผ่าน C ไปก็โอเค) หรืออย่างน้อยก็คิดว่า เราต้องประคับประคองตัวเองให้จบใน 4 ปีให้ได้ เราเลยโฟกัสที่เรื่องเรียนกันมาก ซึ่งบีว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ เพราะบ่งบอกว่าเรามีความรับผิดชอบ แต่บีว่ามันต้องดีกว่าแน่ๆ หากเรานำความรู้ของเราไปแชร์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นน้อง คนรอบตัว หรือหนักหน่อยก็ทำประโยชน์ให้กับสังคมแบบเป็นชิ้นเป็นอันไปเลย เพราะการแบ่งปันความรู้แบบนี้ จะทำให้เราฝึกนิสัยการรู้จักให้ต่อคนอื่น ซึ่งเมื่อถึงเวลาทำงานแล้ว จะทำให้เราไม่มีนิสัยเห็นแก่ตัว และทำให้เราทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย

ชอบอะไร ฝึกมันให้โดดเด่น

ลองหาตัวเองว่าเราสนใจหรือชอบอะไรเป็นพิเศษ เช่น เราชอบถ่ายรูป ก็ไปถ่ายรูปแบบจริงๆ จังๆ ซะ หรือเราชอบทำอาหาร ก็ไปหัดทำมันแบบสุดความสามารถ เพราะทักษะเสริมพวกนี้แหละ จะมีค่าและเป็นเสน่ห์อย่างมาก ในยามที่วิ่งหางานที่ใช่ เพราะมันจะดึงดูดให้บริษัทต่างๆ สนใจคุณได้ แถมมันยังเป็นเข็มทิศยามที่เราหางานที่ใช่ ไม่เจอด้วย

Cr. Khongphop Singnont

Cr. Khongphop Singnont

เก็บอะไรให้ได้มากกว่าความรู้

รักษาเพื่อนดีๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยให้ดีล่ะ บีไม่ได้จะขู่ว่าเพื่อนในสถานที่ทำงานไม่ดี (จากประสบการณ์ที่บีเจอมา เพื่อนในออฟฟิศน่ารักกันมากๆ) แต่ที่บอกให้รักษาเพื่อนในมหาวิทยาลัยให้ดี เพราะเพื่อนๆ คือสิ่งหนึ่งที่สามารถบอกความเป็นตัวเราได้ แถมการรักษามิตรภาพที่ดีไว้นั้น ยังทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง มีคนที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันด้วย

ความรู้ สร้างใหม่ได้ตลอด แต่คนในชีวิตเรา เราจำเป็นต้องเก็บทุกคนที่มีค่าเอาไว้ นึกภาพสิ ดีขนาดไหน ที่มีคนเดินไปสู่ความฝันด้วยกันกับเรา

นี่ก็เป็นสิ่งที่บีคิดว่า น้องๆ นักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยควรจะทราบกันค่ะ อย่างน้อยที่สุด น้องๆ ยังเหลือเวลาอีกเป็นปี ในการฝึกและพัฒนาตัวเองให้ทันโลก และทันสังคม ดังนั้นค่อยๆ ก้าวทีละนิด เรียนรู้ทีละหน่อย พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ และใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่า จะได้ไม่เสียใจ เสียดายเวลาในตอนหลัง เหมือนทีพี่ๆ หลายๆ คนเป็น (บีเองก็เป็น แหะๆ) เอาใจช่วยทุกคนนะคะ