ใน EP แรกของ “ป๋าเต็ดทอล์ก”:โต(อดีต)ซิลลี่ฟูลส์ เราได้รับรู้มุมมองที่โต ซิลลี่ฟูลส์มีต่อเรื่องราวในอดีตของเขา ไม่ว่าเรื่องราวก่อนเป็นซิลลี่ฟูลส์ ช่วงเวลาที่เป็นซิลลี่ฟูลส์แล้ว งานเพลง การเล่นดนตรี แฟนเพลง และการตัดสินใจยุติบทบาทจากวงซิลลี่ฟูลส์ และใช้เวลาช่วงสุดท้ายในการเป็นนักดนตรีกับ Hangman และช่วงเวลาที่ตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นนักดนตรีอย่างเด็ดขาด ในตอนที่ 2 นี้จะมาต่อที่มุมมองในชีวิตที่โตมีต่อเรื่องราวและความสัมพันธ์รอบตัว ไม่ว่าจะแนวความคิดที่มีต่อชีวิตในปัจจุบัน การเลี้ยงดูลูก ๆ รวมไปถึงการถกเถียงเรื่องความเชื่อ ความศรัทธา และพรสวรรค์ ซึ่งเรื่องราวใน EP นี้นอกจากจะทำให้เราเข้าใจผู้ชายคนนี้ได้ดีขึ้น มันยังกระตุ้นความคิดให้เราหันกลับมาทบทวนชีวิตของเราได้อีกด้วย

(บทความนี้เรียบเรียงจาก เทปสัมภาษณ์ในรายการ “ป๋าเต็ดทอล์ก”  EP.2 “ปัจจุบันและอนาคตของ ‘โต’ ”)

สามารถอ่านตอนแรกได้ที่นี่

Play video


“อวาาาห์…ยินดีต้อนรับสู่โลกใหม่”

พอจบจาก Hangman โตผู้มีความปรารถนาที่จะค้นคว้าหาความรู้ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับชีวิตที่ตนเองสงสัย จึงได้มุ่งหน้าเรียนรู้ ทุ่มเทในด้านนี้อย่างเต็มที่ ไม่ได้เสียเวลาไปกับสิ่งอื่นเลย ไม่ได้สังสรรค์ ไม่ได้ปาร์ตี้ เลยมีเวลาที่จะค้นคว้า มีเวลาอุทิศให้กับสิ่งที่สนใจ ไม่ต้องปลีกเวลามา “แต่งเพลง” ซึ่งก่อนหน้านี้เวลาที่โตแต่งเพลงนั้น มันทำให้เขามีความคิดวิ่งวนอยู่ในหัวตลอดเวลา แต่พอไม่ได้แต่งเพลงแล้ว สมองที่เคยวุ่นวายไปด้วยความคิดก็โล่งโปร่งขึ้นมา

“อวาาาห์…ยินดีต้อนรับสู่โลกใหม่”

โตอุทานออกมาด้วยความสบายใจ

โตบอกว่า บางสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ พอลองมาเรียนรู้ ลอง”ปฏิบัติ” ทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่ ที่หากไม่ปฏิบัติก็จะไม่มีวันเข้าใจได้เลย ยกตัวอย่างเช่น หากเราไม่เคยเป็นร็อกสตาร์ ต่อให้บอกต่อให้เล่าไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเข้าใจ ซึ่งในทุกความรู้ก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน

โตทำรายการ “โต-ตาล” มาร่วม 7 ปี เริ่มจากช่องทีวีมุสลิม เรียนรู้วิถีชีวิตปราชญ์อิสลามซึ่งมีแนวความคิดที่น่าสนใจและเป็นมุมมองใหม่ที่ไม่เคยพบ ยกตัวอย่างเช่น แนวคิดในการทำธุรกิจ ถ้าแบบที่โตเคยเรียนมา เขาต้องสอนว่า “ต้นทุนต้องถูกสุด ขายให้ได้กำไรมากที่สุด” แต่ศาสนทูตอิสลามนั้นสอนว่า “ต้นทุนให้กับผู้ที่ผลิตให้เราสูงที่สุด ขายให้ถูกที่สุด” พอโตลองเอาแนวคิดนี้มาใช้กับธุรกิจตัวเอง ลองทำแบบนี้กับซัพพลายเออร์ ผลที่ตามมาคือ เขาจะเอาของที่ดีที่สุดให้กับเรา กำไรน้อยก็จริง แต่ทุกคนจะซื้อกับเรา เพราะของเราดี นี่แหละมันคือ “การให้” แนวคิดเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ขัดกับสิ่งที่เคยเรียนมา แต่เมื่อได้ลองปฏิบัติลองใช้จึงเห็นความจริง นี่เป็นเพียงแค่มิติเดียวเท่านั้น ยังไม่นับเรื่องครอบครัว เรื่องการปกครองคนในองค์กร และอื่น ๆ อีกมาก เลยพบว่าสิ่งที่ผ่านมามันอาจจะไม่ใช่จุดสูงสุดจริง เพราะยังมีสิ่งงดงามอีกมากให้ได้เรียนรู้


“แต่งงาน รีบมีลูก แล้วมึงจะรู้ว่าชีวิตมึงมันมีอะไรมากกว่าแฟน”

โตนั้นไม่เห็นด้วยกับการกินอยู่กันแบบไม่ได้เป็นสามี-ภรรยา เพราะว่ามันจะเกิดการเอาเปรียบกัน ไม่มีความรับผิดชอบ คนควรให้คำมั่นสัญญาซึ่งกันและกัน โตจึงมักแนะนำให้คนแต่งงานมานักต่อนักแล้ว ใครมาปรึกษาก็ทำตัวเป็นพ่อสื่อพาไปแต่งงานเดี๋ยวนั้นเลย (ฮา)

“แต่งงาน รีบมีลูก แล้วมึงจะรู้ว่าชีวิตมึงมันมีอะไรมากกว่าแฟน”

นี่คือแนวคิดที่โตมีต่อความหมายของชีวิตคู่

โตมองว่าการนิ่งคิดทำความเข้าใจในชีวิตและแนะนำผู้อื่นในทางที่ควรเป็นสิ่งที่เราทำได้ เป็นสิ่งที่ช่วยกันได้ ความสุขนั้นเป็นคนละเรื่องกันกับเงินและอำนาจ คนเรามักลืมไปว่า​ ”สุข” คืออะไร

“ความสุข คือ ความรู้สึกดี”

มันก็แค่นี้เอง ตอนนี้โตไม่รู้สึกดีกับการทำเพลงอีกแล้ว  ไม่รู้สึกดีกับการต้องโกหกตัวเอง เอาใจคนอื่น ไม่ต้องการคำชื่นชม ความสุขของโตนั้นมาจากครอบครัว

“เพื่อนแท้ คือ เมียและลูกที่จะตามมา”

เพื่อนทั่วไปนั้นมีไว้ช่วยกัน และจากนั้นก็ต่างมีทางของตน แต่ภรรยานั้นไม่ เพราะฉะนั้นหากใครสับสน โตจะพาไปแต่งงานเลย​(ฮา)


“ลูกๆของโต เติบโตมาแบบเดียวกันกับโตตอนเด็ก ๆ หรือเปล่า” 

ลูก ๆ ได้ความรู้ของโตไปแบบเต็ม ๆ ได้ทั้งทางลัดและความเข้าใจ โตสามารถตอบคำถามลูกโดยมีหลักฐานและผลให้นำไปปฏิบัติได้เอง เอาจากประสบการณ์ทั้งของตนเองและผู้อื่นมาถ่ายทอด ในความคิดของโต โตคิดว่าเท่าที่ดูตอนนี้ลูก ๆ ดีกว่าโตตอนเด็กเยอะ รู้สึกพอใจที่ได้เป็นพ่อของลูก ๆ ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโตเคยเป็นนักร้อง เคยมีรปภ.มาทักว่า “พี่เลิกร้องเพลงแล้วหรอ” ลูกชายก็อยู่ตรงนั้นด้วย จึงเกิดบทสนทนาที่น่ารักขึ้นมาระหว่างโตและลูกชาย

“พ่อ เพื่อนผมเคยบอกว่าพ่อเป็นนักร้อง” 

“อ๋อหรอ เค้าจำผิดมั้ง”

“ไอก็ว่ายังงั้นเพราะหน้ายูไม่เหมือนนักร้อง”

“แล้วนักร้องต้องเป็นไง”

“นักร้องต้องทาหน้าทาตาอะไรแบบนี้ พ่อเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่นักร้องหรอก”

 

แล้วโตก็รอดตัวไป (ฮา)

โตคิดว่าถึงวันนี้ลูกจะยังไม่รู้เรื่องที่ตนเคยเป็นนักร้องมาก่อน แต่วันหน้าลูกอาจรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ก็ให้เป็นเรื่องของวันหน้าไป คงห้ามหรือปิดกั้นอะไรไม่ได้ ขนาดแม่ของโตเองยังเคยหลุดออกมาเลยว่า​ “เนี่ยนะ เพลงนี้มันเลียนแบบเพลงของพ่อเรา” โตเลยต้องกระซิบบอกแม่ไปว่า “มะ ลูกผมเค้ายังไม่รู้”

หากลูกถามโตในวันข้างหน้า โตคงตอบว่ามันคือชีวิตของพ่อในช่วงเวลาที่พ่อยัง “ไม่รู้”

บางคนฟังเพลง เราไม่ฟังเพลง โตก็จะอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ฟัง สิ่งต่าง ๆ อย่างเกมหรือสื่ออะไรก็ตามก่อนถึงมือลูก โตจะตรวจดูก่อนเสมอ พอถึงเวลาละหมาดต้องละหมาด หากฟังเพลง เพลงจะอยู่ในหัวทำให้สมาธิหลุด แต่ถ้าไม่มีอะไรรบกวนหัวจะนิ่ง โตจะสอนลูกแบบนี้ว่าเพลงนั้นมีผลอย่างไรต่อสมองของเรา

ที่บ้านของโตเองก็ไม่ดูหนัง ดูได้แต่ไม่ได้ดูอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โตไม่ให้ลูก ๆ ดู Disney เลย เพราะมีเนื้อหาอันตราย แฝงไว้ด้วยอะไรที่อันตราย เช่น ความสัมพันธ์ เพศ กระบวนการคิด มีปรัชญาที่โตไม่เห็นด้วย ต้องเช็กทุกเรื่อง ถ้าเนื้อหาผ่านก็โอเค  จะได้ยินเพลงผ่านหูเข้ามาก็ได้ ผ่านเข้ามาได้แต่แค่ไม่ไปจดจ่อกับมันก็เท่านั้นเอง

โตมองว่า 7 ปีแรกมีความสำคัญในการก่อร่างสร้างเด็ก โตเชื่อว่าหาก 7 ปีแรกนี้เราวางรากฐานไว้ดี ในช่วงที่เค้าเติบโตเป็นวัยรุ่นจะไม่มีปัญหาอะไร โตเลยให้ลูก ๆ เรียนหลังจาก 7 ขวบไปแล้ว โตจะให้ลูก ๆ ได้เล่นและสอนให้เรื่องความรู้ด้านต่าง ๆ ด้วยตนเอง แต่ไม่ได้จริงจังเป็นทางการมากนัก

สามารถติดตามเรื่องราวน่ารัก ๆ ระหว่างโตและลูก ๆ ได้ในช่องยูทูบ “คำโตๆ” 

Play video


“สิ่งที่ถูกออกแบบ” และ “ผู้ออกแบบ”

“ถ้าวันหนึ่งลูกไม่ขอเป็นอิสลาม?”

โตบอกว่าเรื่องศรัทธามันบังคับกันไม่ได้ แม้กับลูกก็เถอะ แต่โตคิดว่าเป็นไปได้ยากที่ลูกจะไม่ขอนับถือศาสนาอิสลาม เพราะตนมีเหตุผลอธิบายกับลูกได้หมด สิ่งที่ทำให้โตมียิ่งกว่าศรัทธาในพระเจ้า นั้นมาจากการสังเกตสรรพสิ่งในชีวิต ที่ดูราวกับถูก “ออกแบบ” เอาไว้ เช่น กลไกในร่างกาย หรือการที่คนเรามีหัวใจด้านซ้ายเหมือนกัน มันคือการออกแบบไม่ใช่ความบังเอิญ เมื่อมันมีการ “ออกแบบ” ก็ต้องมี “ผู้ออกแบบ”

“ถ้าพระเจ้าออกแบบทุกอย่าง แล้วใครออกแบบพระเจ้า”

โตบอกว่าผู้ออกแบบกับสิ่งที่ออกแบบเอามั่วกันไม่ได้ สิ่งถูกสร้างมีจุดเริ่มต้น-จุดจบ แต่ผู้สร้างคือพระเจ้า ไม่มีจุดเริ่มต้น-จุดจบ ทุกคนมักคิดว่าเราเกิดจากความว่างเปล่า ถ้าว่างเปล่าแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ไง เรานั้นเกิดจากสิ่งที่มีอยู่แล้วคือ “ผู้สร้าง” ทำให้เรามี แต่สิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์มีความเห็นสอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้ากล่าวไว้นั่นคือ ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันจริง นั่นก็คือทฤษฎี Big Bang Theory นั่นเอง สิ่งที่พระเจ้าพูดเป็นความรู้ก่อนที่มนุษย์จะได้ค้นพบเสียอีก


ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการเป็น “โต ซิลลี่ฟูลส์”

 

“คิดว่าซิลลี่ฟูลส์ดังขนาดไหน”

โตตอบคำถามข้อนี้ว่าตนไม่เคยรู้ ว่าตนเองนั้นดังขนาดไหน  เลยเก็บค่าตัวได้ไม่แพงเท่าไหร่​(ฮา) โตเป็นคนทำเพลง ไม่ใช่ดารา เลยมอนิเตอร์จากผลงานไม่ใช่เรตติ้ง

“มีอะไรอยากบอกกับ หรั่ง ต้น (ซิลลี่ฟูลส์) ไหม”

หลังจากจบเทปนี้กับโต ป๋าเต็ดมีนัดจะไปคุยต่อกับสองสมาชิกของซิลลี่ฟูลส์นั้นคือ ต้น จักรินทร์ จูประเสริฐ (กีตาร์) และ หรั่ง เทวฤทธิ์ ศรีสุข (เบส) จึงถามคำถามข้อนี้กับโตเผื่อมีสารหรือข้อความใดส่งไป ซึ่งโตก็ได้ตอบกลับมาว่า

ไม่มี…ไม่ได้คุยกันเลย ตอนนี้ไม่คิดถึงใครเลย โลกมันเป็นคนละใบไปแล้ว ส่วนในวันนี้จะมีคำอธิบายแตกต่างไปจากเมื่อวันวานไหม โตตอบว่ามันยังเป็นเหมือนเดิม แต่อยู่ที่ว่าจะเชื่อในคำตอบของโตรึเปล่า ที่โตนั้นไม่สามารถเล่นดนตรีต่อได้เพราะความเชื่อของโต ในวันนั้นหลาย ๆ คน ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่ทุก ๆ คนไม่เชื่อพวกเขาคิดว่าโตอยากเป็นศิลปินเดี่ยว อยากได้เงินมากกว่านี้ แต่วันนี้ทุกคนก็ได้เห็นคำตอบแล้วว่ามันไม่ใช่ และโตก็ดำเนินชีวิตตามที่ได้พูดไป

“ปฏิเสธพรสวรรค์ที่พระเจ้าให้มา?”

โตถูกป๋าเต็ดถามคำถามสำคัญว่า หากการร้องเพลงแต่งเพลงเล่นดนตรีคือพรสวรรค์ของโต การที่โตปฏิเสธมันในวันนี้จะไม่ถือว่าเป็นการ “ปฏิเสธพรสวรรค์ที่พระเจ้าให้มา” หรือ ?

โตตอบว่าทุกคนมีพรสวรรค์ อยู่ที่เราจะค้นหามันได้หรือเปล่า และชีวิตคือการทดสอบ บางครั้งพระเจ้าก็ให้พรสวรรค์ที่ไม่โอเคเพื่อทดสอบเรา เช่น บางคนนั้น “โกหกเก่ง” พระเจ้าให้พรสวรรค์ข้อนี้เพื่อที่จะดูว่าเราโกหกรึเปล่าหรือเลือกที่จะเชื่อฟังพระองค์ พระเจ้าให้พรสวรรค์กับโต ซึ่งทุกคนมองว่าคือเรื่องดนตรี ในข้อนี้โตยอมรับ โตมองว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของตน คือความสามารถในการถ่ายทอดความคิด ซึ่งทุกวันนี้โตก็ยังทำอยู่ เพียงแต่ไม่ได้มีเรื่องของดนตรีเท่านั้นเอง โตยังไม่ได้ทิ้ง ยังคงเป็นคนพูดกระชับ มีน้ำหนักเหมือนเดิม แมสเซจยังแข็งแรงอยู่ ยังใช้พรสวรรค์ที่พระเจ้าให้มาอยู่

ต่อจากนี้มีโมเมนต์น่ารักเกิดขึ้นอยู่ เมื่อป๋าเต็ดชื่นชมงานของซิลลี่ฟูลส์ว่ามีความ “Unique” (เป็นหนึ่งไม่มีใครเหมือน)

โตสวนว่า “พี่ไม่ได้ฟังวงใหม่ ๆ รึเปล่า”

ป๋าเต็ด จึงสวนกลับว่า “ฟัง ! และผมมั่นใจว่าฟังเยอะกว่าโตแน่นอน เพราะโตไม่ได้ฟังเพลงแล้ว (ฮา)”

จากนั้นป๋าเต็ดจึงพูดความในใจที่มีต่อซิลลี่ฟูลส์ให้โตได้ฟัง ว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ว่าจนทุกวันนี้ความ “Unique” ในแบบของซิลลี่ฟูลส์ที่โตและเพื่อน ๆ ได้ทำไว้ มันยังคงมีความพิเศษอยู่เลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีวงที่เหมือนกับซิลลี่ฟูลส์ในวันนั้น  และมันเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนหันจากสิ่งที่ไม่ดีมาเล่นดนตรีและแต่งเพลง หลายคนอาจจะเคยพลั้งพลาดให้ยาเสพติดแต่ดนตรีก็ช่วยชีวิตเขาไว้

โตนิ่งไปสักครู่ก่อนจะตอบอย่างไว้เชิงเล็กน้อย (เพื่อที่จะปฏิเสธความจริงที่ว่าดนตรีสามารถสร้างสิ่งดี ๆ ให้ชีวิตคนหนึ่งได้จริง) ว่า “ถ้ามาเล่นดนตรีแล้วก็อย่ากลับไปเล่นยาละกัน”

“จะมีโอกาสบ้างไหมที่จะกลับมารวมตัวกัน”

โตตอบอย่างชัดเจนว่าคงไม่มีทางแล้ว เพราะตนมองว่าเครื่องดนตรีนั้นมีผลร้ายมากกว่าผลดี และตนไม่อยากให้มันส่งผลร้ายต่อสังคม

ป๋าเต็ดจึงถามต่อว่าแล้วถ้าเป็นงาน Acapella ที่มีเนื้อหาดี ๆ ล่ะโตจะทำไหม

โตตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นเคยว่า “ไม่มี” ทำนองมันไม่ได้ทำให้เนื้อหาที่จริงเข้ามาในใจคน โตต้องการผลลัพธ์ที่จับต้องได้เต็มปากมากกว่า

และช่วงต่อมาซึ่งถือว่าเป็นช่วงสำคัญมากที่สุดช่วงหนึ่งก็ได้เกิดขึ้น เมื่อป๋าเต็ดได้ถามว่าหากใครเอาแผ่นซิลลี่ฟูลส์มาให้โตเซ็นลายเซ็น โตจะทำให้ไหม โตตอบรับอย่างไม่มีอะไรแคลงใจ ป๋าเต็ดเลยควักแผ่นเสียงซิลลี่ฟูลส์ทุกชุดเท่าที่มีผลิตมา ออกมาให้โตเซ็น สิ่งที่เราผู้ชมได้เห็นคือแววตาและอาการที่แสดงความตกใจของโต โตถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ใครยังฟังแผ่นเสียงอยู่อ่ะพี่”  ซึ่งน้ำเสียงของโตนั้นแฝงไว้ด้วยความจริงใจและประหลาดใจโดยแท้จริง มันทำให้เราเชื่อเลยว่าโตไม่ได้ฟังเพลงและติดตามวงการเพลงมานานแล้ว เลยไม่รู้ว่าคนนั้นหันกลับมานิยมฟังแผ่นเสียงกันใหม่ และกลายเป็นของสะสมสำหรับคนรักดนตรีโดยแท้จริง ที่สำคัญคือในตอนที่โตยังเล่นดนตรีอยู่กับซิลลี่ฟูลส์นั้นกระแสนิยมแผ่นเสียงยังไม่มา แผ่นของซิลลี่ฟูลส์เลยยังไม่เคยทำออกมาเป็นแผ่นเสียงเลย สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าโตจึงดูราวกับสิ่งอัศจรรย์ใจแปลกใหม่ ซึ่งเราเห็นไว้จากแววตาของโต ที่ทอประกายและดูราวกับคนที่เพิ่งได้พบลูกที่ห่างกันไกลและไม่ได้เจอกันนาน ก่อนที่จะบอกกับลูกว่า “ไอ้หนูเอ็งดูโตขึ้นเยอะเลยนะ” อะไรประมาณนี้เลย มันมีทั้งความคิดถึงและภูมิใจอยู่ในแววตาของโต ซิลลี่ฟูลส์คนนี้…

…คนที่อาจไม่มีวันกลับมาใช้นามสกุลซิลลี่ฟูลส์อีก แต่พวกเราจะยังคงจดจำเขาในชื่อนี้ตลอดไป “โต ซิลลี่ฟูลส์”

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส