ตลอดทศวรรษ 2010s ที่กำลังจะผ่านไปในช่วงไม่กี่วันนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นทศวรรษที่มีหนังออกมาไม่หลากหลายแนวมากเท่ากับทศวรรษก่อน เพราะคอหนังได้เห็นหนังเฉพาะทางเฉพาะแนวน้อยลง อย่างเช่นหนังรักโรแมนติก หนังสยองขวัญปนฮา หรือแม้กระทั่งหนังดราม่าหวังรางวัล หนังเสริมสร้างกำลังใจที่มีจำนวนน้อยลง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ค่ายหนังต่างเลือกจะลงทุนกับหนังแฟรนไชส์ภาคต่อ หรือมีฐานแฟนคลับที่จับต้องได้อย่างซูเปอร์ฮีโร สตาร์วอร์ส หรือการ์ตูนแอนิเมชัน

ซึ่งก็ส่งผลให้ผู้กำกับถูกลดบทบาทลงไปด้วย เมื่อยิ่งเทียบกับทศวรรษ 90s ที่จะมีชื่อผู้กำกับดัง ๆ หรือผู้อำนวยการสร้างเป็นชื่อเปิดหนังไม่แพ้กับชื่อนักแสดง ต่างจากในยุคปัจจุบัน ขนาดชื่อนักแสดงระดับ A-List ยังเปิดหนังไม่สำเร็จ ผู้กำกับที่ถูกเรียกใช้บริการยิ่งต้องโนเนมเพื่อไม่ให้ค่ายต้องจ่ายค่าตัวแพง และเลือกใช้วิธีจ้างผู้บริหารโครงการหนังที่มีคุณภาพไปเลยยาว ๆ ดีกว่า (เช่นที่ Marvel Studios มี Kevin Feige หรือที่ Warner Bros. พยายามปั้นให้ Zack Snyder เป็นผู้คุม DC Universe แต่ก็ไปไม่รอดในที่สุด) ถึงอย่างนั้น เหล่าผู้กำกับที่เป็นสายอาร์ต สายหนังหวังรางวัล ก็ยังขยันสร้างผลงานออกมาอย่างยอดเยี่ยม และในหลาย ๆ เรื่อง ก็เป็นหนังที่ทำรายได้บนตารางหนังทำเงินได้อย่างสวยหรู

วันนี้ What the Fact ขอพาผู้อ่านกลับไปย้อนความจำตลอด 10 ปีที่ผ่านมากับ “8 ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” ที่ขอยึดรางวัลออสการ์ รางวัลของโลกภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา เป็นการบ่งบอกความยอดเยี่ยมของผลงานและฝีมือของพวกเขาและเธอ

2010: Kathryn Bigelow, ‘The Hurt Locker’

Kathryn Bigelow กำกับ The Hurt Locker

Kathryn Bigelow กำกับ The Hurt Locker

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: 49 ล้านเหรียญฯ / 15 ล้านเหรียญฯ
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: Point Break (1991) (รายรับรวมทั่วโลก 83 ล้านเหรียญฯ)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: ในต้นยุค 2010s นั้นยังไม่มีผู้กำกับหญิงที่มีชื่อเสียงมากนักในโลกของผู้กำกับที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ยังไม่นับผู้กำกับหญิงที่ทำหนังดราม่าหรือหนังล่ารางวัล ทำให้ Kathryn Bigelow โดfเด่นและกลายเป็นผู้กำกับหนังหญิงเพียงคนเดียวที่คว้ารางวัลออสการ์สาขานี้ได้ จากผู้กำกับหญิงที่เคยเข้าชิงทั้งหมด 5 คน (คนล่าสุดคือ Greta Grawig เข้าชิงกับ Lady Bird (2017)) Kathryn ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของผู้กำกับ James Camaron เธอชอบกำกับหนังเกี่ยวกับสงคราม และถ่ายทำหนังได้อย่างสมจริงกับ The Hurt Locker ที่เป็นเหตุการณ์จริงจากสงครามอิรัก (ชนะ 6 รางวัลออสการ์ รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) โดยเธอชนะรางวัลในปีที่ James Cameron เป็นเต็งจ๋าจาก Avartar
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: Zero Dark Thirty (2012) (ชนะ 1 รางวัลออสการ์), Detriot (2017)
Kathryn Bigelow กำกับ Zero Dark Thirty

Kathryn Bigelow กำกับ Zero Dark Thirty

2011: Tom Hooper, ‘The King’s Speech’

Tom Hooper กำกับ The King's Speech

Tom Hooper กำกับ The King’s Speech

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: 414 ล้านเหรียญฯ / 15 ล้านเหรียญฯ
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: The King’s Speech (2010)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: หนังที่ประสบความสำเร็จในการบอกเล่าชีวประวัติของพระเจ้าจอร์จที่ 6 และหนทางของกษัตริย์ที่ทรงมีพระอาการพูดติดอ่าง ก่อนจะต้องกล่าวสุนทรพจน์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนทั่วอังกฤษ ในปีนั้น หนังเรื่องที่สูสีคู่คี่กันมาคือ The Social Network ของ David Fincher ที่ก็เป็นหนึ่งในหนังที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แต่ท้ายที่สุดเป็นหนังเรื่องนี้ที่กินใจคณะกรรมการมากกว่าจนคว้า 4 รางวัลออสการ์กลับบ้าน รวมถึง Colin Firth ที่ได้รับรางวัลออสการ์นำชายยอดเยี่ยม Tom Hooper ยังได้กำกับหนังเพลงมหากาพย์เรื่องเยี่ยมที่สร้างกันมาหลายเวอร์ชันอย่าง Les Misérables เป็นเรื่องต่อมา และหนังเพลงที่สร้างจากละครบรอดเวย์ชื่อดัง Cats ที่กำลังจะเข้าฉายปลายปีนี้
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: Les Misérables (2012) (ชนะ 3 รางวัลออสการ์), The Danish Girl (2015) (ชนะ 1 รางวัลออสการ์), Cats (2019)
Tom Hooper กำกับ Les Misérables

Tom Hooper กำกับ Les Misérables

2012: Michel Hazanavicius, ‘The Artist’

Michel Hazanavicius กำกับ The Artist

Michel Hazanavicius กำกับ The Artist

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: 133 ล้านเหรียญฯ / 15 ล้านเหรียญฯ
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: The Artist (2011)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: หนังชนะ 5 รางวัลออสการ์ที่เรียกว่าเป็นม้ามืดของปีนั้น เพราะทุกคนตั้งแต่ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสคนนี้ หรือนักแสดงนำทั้งชายและหญิงล้วนแต่โนเนม แต่หนังก็หยิบฉวยรูปแบบของหนังขาวดำและการเป็นหนังเงียบของหนังยุคเก่า มาสร้างความน่าสนใจให้กับคนยุคใหม่ ในปีนั้นคู่แข่งที่สำคัญคือหนังเด็กที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกแห่งการสร้างภาพยนตร์ยุคเก่าวันวานเหมือนกัน อย่าง Hugo ผลงานกำกับของ Martin Scorsese ที่ไม่เคยทำหนังแนวนี้มาก่อน เพราะทำแต่หนังแก๊งสเตอร์มาตลอด หนังยังแจ้งเกิด Jean Dujardin นักแสดงนำชายที่เล่นเรื่องนี้ไว้ได้ดีมาก ๆ (คว้าออสการ์นำชาย) แต่เขาก็ยังไม่มีหนังที่ดังเรื่องอื่นอีกเลยในทศวรรษนี้
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: The Search (2014)
Michel Hazanavicius

Michel Hazanavicius

2013: Ang Lee, ‘Life of Pi’

Ang Lee กำกับ Life of Pi

Ang Lee กำกับ Life of Pi

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: 609 ล้านเหรียญฯ / 120 ล้านเหรียญฯ
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: Sense and Sensibility (1995)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: Ang Lee หรือหลี่อัน ผู้กำกับชาวไต้หวันที่สร้างชื่อตั้งแต่การทำหนังในประเทศตัวเองอย่างเช่น Crouching Tiger Hidden Dragon (2000) และ Lust, Caution (2007) จนข้ามน้ำข้ามทะเลไปสร้างหนังดราม่าชั้นดีมากมาย อย่างหนังหุบเขาเร้นรักอันลือลั่น Brokeback Mountain (2005) และ Taking Woodstock (2009) แต่หลายเรื่องที่เป็นการสร้างหนังบนเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของวงการภาพยนตร์ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่น Billy Lynn’s Long Halftime Walk (2016) และ Gemini Man (2019) แต่กับ Life of Pi คือความลงตัวของหนังที่ถ่ายทำด้วยเทคโนโลยีใหม่จนได้ภาพที่สวยสดงดงาม และเนื้อหาการตีความความเชื่อทางศาสนาออกมาได้อย่างลงตัว
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: Billy Lynn’s Long Halftime Walk (2016), Gemini Man (2019)
Ang Lee กำกับ Gemini Man

Ang Lee กำกับ Gemini Man

2014&2019: Alfonso Cuarón, ‘Gravity’/ ‘Roma’

Alfonso Cuarón กำกับ Gravity

Alfonso Cuarón กำกับ Gravity

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: Gravity-723 ล้านเหรียญฯ / 100 ล้านเหรียญฯ, Roma (Netflix-ไม่เปิดเผย)
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: A Little Princess (1995) (เข้าชิง 2 รางวัลออสการ์)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: 1 ใน 2 ผู้กำกับชาวเม็กซิโกที่คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมได้ถึง 2 ตัวในทศวรรษเดียวกัน สร้างชื่อจาก A Little Princess (1995), Great Expectations (1998) และกำกับหนังเมนสตรีมออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงใน Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (2004) ที่หลายคนยกให้เป็นหนัง Harry Potter ที่สนุกที่สุด ในทศวรรษนี้ Cuarón กำกับหนังเรื่องแรกที่เป็นหนังอวกาศ มีฉาก 20 นาทีแรกของเรื่องเป็นฉาก Long-Take ที่สมจริง รวมถึงยังถ่ายทำทั้งเรื่องเหมือนให้คนดูหลุดเข้าไปในอวกาศจริง ๆ หนังคว้า 7 รางวัลออสการ์ แต่พลาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมให้กับ 12 Years A Slave ส่วน Roma ซึ่งเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปีล่าสุด กับจุดขายการทำหนังภาษาต่างประเทศ เป็นหนังขาวดำ และการถ่ายภาพที่งดงามสมจริง Cuarón ขึ้นรับรางวัลพร้อมกับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (คว้า 3 รางวัลออสการ์)
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: ไม่มี
Alfonso Cuarón กำกับ Roma

Alfonso Cuarón กำกับ Roma

2015&2016: Alejandro G. Iñárritu, ‘ Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance)’ / ‘The Revenant’

Alejandro G. Iñárritu กำกับ Birdman

Alejandro G. Iñárritu กำกับ Birdman

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: Birdman-103 ล้านเหรียญฯ / 18 ล้านเหรียญฯ, The Revenant-532 ล้านเหรียญฯ / 135 ล้านเหรียญฯ
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: 21 Grams (2003)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: ผู้กำกับชาวเม็กซิโกคนที่ 2 ที่ได้รางวัลออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยม 2 ตัวในทศวรรษเดียวกัน แถมยังเป็น 2 ตัวใน 2 ปีติดกันที่ไม่เคยมีมาก่อน Iñárritu แจ้งเกิดจากหนังอาชญากรรมและหนังดราม่าที่ขายความดิบและรุนแรงจาก 21 Grams (2003), Babel (2006), Biutiful (2010) ก่อนที่พอเข้าทศวรรษนี้ เขาจะเล่นท่ายากด้วยการถ่ายทำ Birdman หนังรวมดาวนักแสดงเป็น Long-Take ทั้งเรื่อง (แบบปลอม ๆ เพราะใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกที่แนบเนียน) ซึ่งคว้า 4 รางวัลออสการ์ ส่วน The Revenant ในปีถัดมาก็เล่นท่ายากอีกท่าด้วยการถ่ายทำหนังโดยใช้แค่แสงตามธรรมชาติ (ไม่มีการจัดเซ็ตไฟถ่ายทำเลย) ที่อยู่ในบรรยากาศในป่าดงดิบ และสามารถเรียกการแสดงที่ยอดเยี่ยมจาก Leonardo DiCaprio (ชนะรางวัลออสการ์เสียที!) และ Tom Hardy ได้ หนังคว้า 3 รางวัลออสการ์ไปครองซึ่งหนึ่งในนั้นคือ รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยมโดย Emmanuel Lubezki ตากล้องคู่บุญของทั้ง Iñárritu และ Cuarón ที่ฟาดออสการ์ 3 ปีรวดตั้งแต่ Gravity, Birdman และ The Revenant
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: ไม่มี
Alejandro G. Iñárritu กำกับ The Revenant

Alejandro G. Iñárritu กำกับ The Revenant

2017: Damien Chazelle, ‘La La Land’

Damien Chazelle กำกับ La La Land

Damien Chazelle กำกับ La La Land

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: 446 ล้านเหรียญฯ / 30 ล้านเหรียญฯ
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: Whiplash (2014) (ชนะ 3 รางวัลออสการ์)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: หนังเพลงที่มีซีนโชว์เหมือนละครเวทีที่ดีที่สุดของทศวรรษนี้ คนดูแทบจะลุกขึ้นร้องและเต้นกันตั้งแต่เพลงเปิดของเรื่อง La La Land คือหนังรักน้ำเน่าเหมือนในยุค 80s-90s ที่ถ้าทำออกมาดี ๆ คนก็จะซึ้งและไม่รู้สึกเอียน หนังได้การแสดงของคู่ขวัญ Ryan Gosling และ Emma Stone ที่ร้องเองเต้นเองมาอุ้มหนังไว้ตลอดทั้งเรื่อง (Emma คว้ารางวัลออสการ์นำหญิงไปครอง) และที่ต้องชมคือ ทักษะและรสนิยมของผู้กำกับ Damien Chazelle ที่เป๊ะและมีสไตล์ไปแทบทุกส่วนในการกำกับเรื่องนี้ หนังทีฉากจบแสนเศร้าซึมลึกที่คนยังพูดกันมาจนถึงทุกวันนี้และคงอีกนาน หนังพลาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปให้กับ Moonlight หนังอินดี้คู่แข่ง ในปีที่มีการประกาศชื่อหนังยอดเยี่ยมผิด และทีมงานและนักแสดงของ La La Land เดินขึ้นเวทีไปรับรางวัลกันหมดแล้ว หนังคว้าออสการ์กลับบ้านไป 6 รางวัล
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: Whiplash (2014) และ First Man (2018)
Damien Chazelle กำกับ Firstman

Damien Chazelle กำกับ First Man

2018: Guillermo del Toro, ‘The Shape of Water’ 

Guillermo del Toro กำกับ The Shape of Water

Guillermo del Toro กำกับ The Shape of Water

  • รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของหนังออสการ์: 195 ล้านเหรียญฯ / 19 ล้านเหรียญฯ
  • ผลงานแจ้งเกิด/เรื่องแรก: Mimic (1997)
  • เหตุผลของความยอดเยี่ยม: ผู้กำกับที่วนเวียนอยู่กับการทำหนังเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดหน้าตาแปลก ๆ (อย่างมีเอกลักษณ์ว่าเป็นดีไซน์เฉพาะของ del Toro แน่ ๆ) มาตลอด และหนังที่ทำให้เขาได้รางวัลออสการ์ก็คือหนังรักระหว่างสัตว์ประหลาดและมนุษย์ แจ้งเกิดจากหนังไซไฟสัตว์ประหลาด Mimic (1997) ทำหนังฮีโรแวมไพร์ Blade II (2002) ฮีโร่จากนรก Hellboys 2 ภาคต้นฉบับ (2004-2008) มาจนถึงหนังหุ่นรบสู้กับสัตว์ประหลาดไคจู Pacific Rim (2013) แต่หนังดราม่าน้ำดีเขาก็ทำได้กับ Pan’s Labyrinth (2006) ที่คว้าไป 3 รางวัลออสการ์ กับหนัง The Shape of Water นั้นแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของรางวัลออสการ์ในทศวรรษนี้ มักให้กับหนังที่แสดงความถวิลหาต่อช่วงเวลาของโลกภาพยนตร์ยุคเก่าเช่น The Artist และ La La Land รวมถึงเรื่องนี้ที่ทำให้นึกถึง Creature from the Black Lagoon (1954) ซึ่งกับการที่ del Toro ได้รางวัลนี้คณะกรรมการอาจไม่ได้ให้เพียงเพราะความเยี่ยมของเรื่องนี้ (ที่จะว่าไปไม่ไดเโดดเด่นขนาดนั้น) แต่มอบให้กับความยอดเยี่ยมของการทำงานตลอดชีวิตของเขาด้วย
  • หนังเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษนี้: Pacific Rim (2013) และ Crimson Peak (2015)
Guillermo del Toro กำกับ Pacific Rim

Guillermo del Toro กำกับ Pacific Rim

อ้างอิง

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส