[รีวิวซีรีส์] Into The Night Season 2: หายนะภัยดวงอาทิตย์ที่ว่าแน่ ไม่แย่เท่าตัวละครโง่ ๆ ที่ได้มีภาคต่อ

Release Date

08/09/2021

ความยาว

6 ตอน ตอนละ 30-40 นาที

[รีวิวซีรีส์] Into The Night Season 2: หายนะภัยดวงอาทิตย์ที่ว่าแน่ ไม่แย่เท่าตัวละครโง่ ๆ ที่ได้มีภาคต่อ
Our score
4.0

Into The Night

จุดเด่น

  1. พลอตที่น่าสนใจ การสร้างสถานการณ์ให้ต้องแก้ปัญหามีอย่างต่อเนื่องได้ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง

จุดสังเกต

  1. โปรดักชันกลาง ๆ ค่อนธรรมดา การแสดงพอใช้ได้ บทสำหรับการสร้างสรรค์ตัวละครเข้าขั้นแย่ หาตรรกะหาความเป็นคนปกติไม่เจอเลย
  • บท

    2.0

  • โปรดักชัน

    5.0

  • การแสดง

    6.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    3.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    3.0

เรื่องย่อ: หลังหนีจากแสงอาทิตย์จนมายังหลุมหลบภัยสำเร็จ คณะผู้โดยสารที่เหลือรอดก็สมทบกับคณะทหารนาโตในการหาทางช่วยเหลือโลก จนตกลงเป็นภารกิจเก็บกู้เมล็ดพันธุ์พืชที่นอร์เวย์ และในซีซันที่ 2 นี้เราจะได้พบปัญหาความขัดแย้งระหว่างพลเรือนและทหารที่พร้อมทำลายทุกอย่างให้วินาศหมดสิ้น

ภาพรวมในซีซันแรกอาจสรุปได้ว่า ‘Into the Night’ มีพลอตที่น่าสนใจว่าดวงอาทิตย์ที่ปล่อยรังสีบางอย่างจนสิ่งมีชีิวิตบนโลกตายแทบทั้งหมด ตัวละครที่จับพลัดจับผลูกำลังขึ้นเครื่องที่ถูกนายพลนาโตยึดเลยรอดชีวิตจากการบินหนีแสงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตก และต้องหาทางรอดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ ทว่าตัวซีรีส์ก็มีปัญหาในการเขียนบทที่เอาตัวละครที่มีวิธีคิดไม่เหมือนมนุษย์ปกติ จนถึงขั้นไบโพลาร์ในบางตัว ฉากหนึ่งเห็นด้วยกับตรรกะอย่างหนึ่งพออีกฉากกลับพลิกตรรกะตัวเองเป็นอีกแบบหนึ่ง เหมือนว่าคนเขียนบทอยากทำให้สถานการณ์ตื่นเต้นดูลุ้นดูลำบาก โดยไม่ต้องสนใจความสมเหตุสมผลอีกต่อไป

รีวิว: Into the Night ซีซันแรก

Into The Night

และเมื่อมาในซีซันที่ 2 นี้ ก็เรียกได้ว่าถ้าคุณชอบซีซันแรก คุณก็น่าจะยังชอบต่อไป แม้เนื้อหาจะย่ำอยู่ในหลุมหลบภัยค่อนข้างเยอะไม่หวือหวาเปลี่ยนประเทศไปมาแบบซีซันก่อน แต่ก็ยังใส่สถานการณ์ชวนลุ้นเป็นอุปสรรคให้ตัวละครได้เรื่อย ๆ และสำหรับใครที่ไม่ชอบ ถึงหนังจะจูงใจให้เราดูต่อไปอยากรู้ฉากข้างหน้าต่อได้อย่างดี แต่ความน่ารำคาญของตัวละครแทบทุกตัวก็คอยบั่นทอนความรู้สึกให้ยิ่งดูยิ่งหงุดหงิด ก็น่าจะยังไม่ชอบซีซันนี้ต่อไป

ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วก็เบาใจไปอย่าง ตรงที่ซีรีส์ยังเลือกเดินเรื่องแบบตัวละครเจ้าปัญหาในวิกฤตเฉพาะหน้าเฉพาะตัวที่ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด แทนที่จะต้องไปเล่นใหญ่แบบจะขึ้นจรวดไปดับดวงอาทิตย์อะไรเทือกนั้น เพราะท้ายซีซัน 1 ได้ทิ้งไว้ว่าทหารมาชวนตัวเอกอย่างซิลวี่ไปกอบกู้โลก คือแค่คิดว่าตัวละครที่ยังมีความไม่มั่นคงในตัวเองจะไปช่วยโลกแบบซูเปอร์ฮีโรก็อดเป็นห่วงแทนมนุษยชาติไม่ได้เลย

Into The Night

อย่างที่ทราบว่าตัวซีรีส์หยิบแรงบันดาลใจมาจากนิยายแนววิทยาศาสตร์ภาษาโปแลนด์ของ ยักเซก ดูไคจ์ (Jacek Dukaj) ในปี 2015 ที่ชื่อ ‘The Old Axolotl’ แต่ก็เป็นการหยิบยืมกลิ่นมาเท่านั้น เพราะในตัวนิยายจะเล่าโลกหลังการล่มสลายมนุษย์ที่เหลือรอดได้แปลงความคิดจิตใจกลายเป็นดิจิทัลแทน แต่ในตัวซีรีส์จะเล่าช่วงเวลาระหว่างการล่มสลายของโลก ผ่านความคิดและอารมณ์ของตัวละครหลากเชื้อชาติหลายสาขาอาชีพที่อยู่บนเครื่องบินลำเดียวกันที่มีต่อสถานการณ์ระดับโลกเบื้องหน้าเท่านั้น ซึ่งว่ากันตามตรงคือเป็นสิ่งที่ดีมีทุนตั้งต้นที่น่าสนใจมาก ๆ

และการตั้งชื่อตอนตามชื่อตัวละคร ก็ชงมาให้ใช้งานอะไรแบบนั้นได้ดี เหมือนอย่างล่าสุดในเรื่อง ‘Clickbait’ ที่เอามุมมองตัวละครนั้นเล่าเรื่องในตอนตัวเอง ทว่าสำหรับเรื่องนี้ตั้งแต่ซีซันที่แล้วจนถึงซีซันนี้ การตั้งชื่อตัวละครก็เป็นเพียงการบอกว่าจะแฟลชแบ็กอดีตของตัวละครไหนซึ่งก็ไม่ค่อยมีความสำคัญอะไรกับเรื่องราวในเรื่องเท่าไหร่ และก็ตั้งชื่อตอนไปแบบไม่ได้คิดเยอะมากมายด้วย อาจจะตัวละครนั้นมีความสำคัญในตอนนั้นสักฉากก็เพียงพอ

Into The Night

และอีกปัญหาหลักที่นำพามาถึงซีซันที่ 2 ก็คือ ตัวซีรีส์ไม่สามารถงัดวัตถุดิบพัฒนาการตัวละครที่ว่ามา เอามาเล่าได้เลย มันถูกขับเคลื่อนไปด้วยสถานการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ว่า เมื่อตัวละครกลุ่มนี้มาอยู่ตรงนี้ จะต้องเกิดปัญหาแบบนี้ งั้นให้ตัวละครนี้เป็นตัวก่อปัญหาแล้วตัวนี้ไปแก้แล้วกัน เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่ตัววัตถุดิบชั้นดีที่ว่ามาคือ ตัวละครต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างอาชีพ ต่างแนวคิด ที่เราควรจะได้เห็นพัฒนาการทางความคิดและอารมณ์ไปตามสถานการณ์อุปสรรค ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าคือพวกแกจะคิดอย่างไรก็เรื่องของพวกแก แต่เมื่อมาถึงสถานการณ์นี้แกต้องทำแบบนี้ จนกลายเป็นมหกรรมความป่วนที่มาจากตัวละครอยากทำอะไรก็ทำไปเสียแทน

Into The Night

มองหาแง่ดีของซีรีส์ ก็คือ ถ้าเรามองข้ามความเข้าใจในตัวละครไปให้หมดเลย ถือซะว่าดูตัวหมากบนกระดานแบบไม่ต้องไปสนใจว่ามันคือตัวหมากชนิดไหน มีกติกาต้องเดินรูปแบบอย่างไร แต่ดูแค่วิธีการเล่นจับหมากเดินวางไปเรื่อย ๆ ก็ถือได้ว่าตัวซีรีส์มีการสร้างสถานการณ์ได้สนุก คิดความขัดแย้งได้น่าสนใจไม่น้อย โดยเนื้อแท้มันมีธีมบางอย่างที่สอดแทรกอยู่อย่างน่าสนใจ

Into The Night

เช่น ในซีซันแรกเราจะเห็นการต่อสู้ของระบบฟาสซิสต์ เมื่อทหารถือปืนขึ้นมายึดเครื่อง เป็นทหารที่อยู่ท่ามกลางพลเมืองแต่ใช้อำนาจเหนือทุกคนได้ พอมาในซีซันนี้กลับด้านกลายเป็นพลเมืองที่อยู่ท่ามกลางทหารในหลุมหลบภัย ถึงขนาดมีคำที่ว่า นี่เป็นเขตของทหาร ก็ต้องใช้การจัดการแบบทหาร และแม้ในซีซันนี้จะนำเสนอทหารหลากหลายจำพวกที่อาจไม่ได้ถูกกัน แต่พอมีพลเมืองเข้ามาเป็นเงื่อนไข พวกทหารก็จะจับมือกันเป็นพันธมิตรเพื่อต่อสู้กับพลเมืองได้ทันที และในซีซันนี้ก็ใส่ตัวละครนักไกล่เกลี่ยอย่างนักการทูตมาเป็นผู้อยู่ตรงกลางได้อย่างน่าสนใจด้วย ทำให้คู่ขัดแย้งแตกออกเป็นหลายฝักหลายฝ่ายทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม เอาจริงถ้าเขียนบทให้ตัวละครมันเมกเซนส์ดี ๆ มันน่าจะสนุกมากทีเดียว

เชื่อว่าทีมสร้างค่อนข้างตั้งใจการนำเสนอเรื่องความขัดแย้งเชิงสัญญะจุดนี้จริง ๆ และว่าไปก็ทำได้ดี ถ้ามองแค่มุมแคบ ๆ มุมนี้

Into The Night

ว่ากันตามจริงมันมีฉากที่อยากยกตัวอย่างมากมายถึงความวิบัติทางพัฒนาการตัวละคร แต่ก็ไม่อยากสปอยล์ เพราะว่ากันตามตรงแล้ว ความสนุกที่เหลืออยู่มากของซีรีส์นี้ก็แทบจะมีเหลืออย่างเดียวคือ การคาดเดาไม่ได้ว่าตัวละครจะทำบ้าบออะไรกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทำไปแบบแถ ๆ อยากจะทำนั่นล่ะ ใครชอบดูสถานการณ์วายป่วงและไม่ค่อยเป็นคนขี้รำคาญตัวละครนัก น่าจะยังดูได้สนุกจนจบครับ

และข้อดีอย่างเดียวที่พอจะนึกออกคือในซีซัน 2 นี้ น้องอิเนส ดูน่ารักและโดดเด่นขึ้นมากทีเดียว เป็นดอกไม้ที่แซมอยู่ในหมู่คนหน้าตาบอกบุญไม่รับได้ดี

Into The Night

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส