นับตั้งแต่เปิดตัวฉายเรื่องแรก ‘Dr. No’ ในปี 1962 จนถึงเรื่องที่ 25 ล่าสุด ‘No Time to Die’ ในปีนี้ หนังชุดสายลับแห่ง MI6 ที่มีรหัสประจำตัว 007 ชื่อ ‘เจมส์ บอนด์’ (James Bond) ที่มีต้นกำเนิดจากนวนิยายชุดของ เอียน เฟลิมมิง (Ian Fleming) มีการสร้างต่อเนื่องมาเกือบ 60 ปี ผ่านนักแสดงผู้รับบทบอนด์ถึง 6 คน จากฌอน คอนเนอรี จนถึงแดเนียล เครก beartai ได้รวบรวมลิสต์หนังเจมส์ บอนด์ ทั้ง 25 เรื่องไว้ที่นี่แล้ว




Dr. No (1962)
หนังเจมส์ บอนด์ ภาคแรก โดยผู้กำกับ เทอเรนซ์ ยัง และเป็นการเปิดตัว ฌอน คอนเนอรี ในฐานะสายลับ 007 เป็นครั้งแรก บอนด์ถูกส่งไปสืบคดีฆาตกรรมเพื่อนร่วมงานที่จาไมกา นำไปสู่แผนการลับบนเกาะส่วนตัวของ ดร.จูเลียส โน หนังประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ทำเงินไปถึง 60 ล้านเหรียญ และเป็นบรรทัดฐานให้กับหนังเจมส์ บอนด์ ภาคต่อ ๆ ไปให้ดำเนินรอยตาม


From Russia with Love (1963)
ผู้กำกับ เทอเรนซ์ ยัง และฌอน คอนเนอรี ร่วมงานกันอีกครั้ง เล่าเรื่องราวของบอนด์ที่เดินทางไปตุรกีเพื่อรับเครื่องถอดรหัสชื่อเล็กเตอร์จากเจ้าหน้าที่สาวชาวรัสเซีย จากนั้นก็ถูกตามล่าจากองค์กรอาชญากรรมสเปกเตอร์ ที่ต้องการล้างแค้นให้กับ ดร.โน ถือเป็นหนังบอนด์ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชัน ตื่นเต้น ระทึกขวัญมากกว่าภาคแรก


Goldfinger (1964)
หนังเจมส์ บอนด์ ภาคที่ 3 เปลี่ยนผู้กำกับเป็น กาย แฮมิลตัน โดย ฌอน คอนเนอรี ยังคงรับบทสายลับ 007 ที่ได้รับคำสั่งให้ตามติดนายหน้าค้าทองชื่อ ออริก โกลด์ฟิงเกอร์ จนสืบทราบถึงแผนปล้นทองคำสำรองของสหรัฐอเมริกา หนังทำรายได้ท่วมท้นถึง 124 ล้านเหรียญ แถมยังเป็นการสร้างขนบหลายอย่างให้กับหนังบอนด์ อย่างเช่น ประโยคทองในการสั่งเครื่องดื่ม “A martini, shaken not stirred.” และของเล่นไฮเทกหลายอย่าง นอกจากนั้น Goldfinger ยังเป็นบอนด์เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษด้านเสียงยอดเยี่ยมอีกด้วย


Thunderball (1965)
เทอเรนซ์ ยัง กลับมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับอีก (เป็นครั้งสุดท้าย) พร้อมฌอน คอนเนอรี และบอนด์ในภาคที่แหวกแนวนำเสนอฉากแอ็กชันใต้น้ำ ภายใต้เรื่องราวการออกเดินทางของบอนด์ไปยังบาฮามาส เพื่อตามหาหัวรบนิวเคลียร์ 2 หัวที่ถูกสเปกเตอร์ขโมยไป ด้วยฉากการต่อสู้ไล่ล่าในทะเลและใต้น้ำที่ดูแตกต่างจากภาคก่อน ๆ ทำให้บอนด์ภาคนี้กวาดเงินไปมากถึง 141 ล้านเหรียญ และยังได้รับรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษด้านภาพยอดเยี่ยม


You Only Live Twice (1967)
นี่คือหนังเจมส์ บอนด์ เรื่องแรกที่ไม่ได้นำโครงเรื่องมาจากนิยายทั้งดุ้น ใช้แค่บางตัวละครและบางสถานที่จากนิยายชื่อเดียวกันของ เอียน เฟลมมิง ที่สำคัญเขียนบทโดย โรอัลด์ ดาห์ล นักเขียนชื่อดัง ฌอน คอนเนอรี ยังรับบทบอนด์ จากการกำกับของ ลิวอิส กิลเบิร์ต พูดถึงบอนด์ที่ต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อสืบหายานอวกาศที่ถูกขโมยและนักบินอวกาศที่ถูกลักพาตัว


On Her Majesty’s Secret Service (1969)
การรับบทเจมส์ บอนด์ ครั้งแรกและครั้งเดียวของ จอร์จ ลาเซนบี นักแสดงชาวออสเตรเลีย กำกับโดย ปีเตอร์ อาร์. ฮันต์ ในภาคนี้บอนด์ต้องเผชิญหน้ากับ โบลเฟลด์ ที่วางแผนล้างสมองคนไข้เพื่อให้ไปปล่อยเชื้อโรคไปทั่วโลก หนังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังบอนด์ที่มีการดัดแปลงได้ซื่อสัตย์ต่อนวนิยายของเอียน เฟลมมิง และมีสาวบอนด์ที่มีเสน่ห์มากที่สุดคนหนึ่ง (ไดอานา ริกก์)


Diamonds Are Forever (1971)
หลังจากลาเซนบีถอนตัวไป ฌอน คอนเนอรี ก็จำต้องกลับมารับบทบอนด์อีกครั้ง พร้อมผู้กำกับกาย แฮมิลตัน จาก ‘Goldfinger’ เล่าเรื่องราวของบอนด์ที่ออกตามล่าแก๊งลักลอบค้าเพชรเถื่อน เริ่มต้นจากแอฟริกาไปจนถึง ฮอลแลนด์ อังกฤษ และอเมริกา และพบว่าผู้อยู่เบื้องหลังแผนร้ายนี้คือศัตรูเก่าอย่างโบลเฟลด์ หนังไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ เดินตามสูตรเดิม ๆ สิ่งเดียวที่ทุกคนจดจำได้จนถึงวันนี้คือเพลง “Diamonds Are Forever” ของเชอร์ลีย์ บาสซี


Live and Let Die (1973)
การรับบทเจมส์ บอนด์ ครั้งแรกของโรเจอร์ มัวร์ และยังคงกำกับโดย กาย แฮมิลตัน เล่าเรื่องราวการสืบสวนคดีฆาตกรรมของ 3 เจ้าหน้าที่ของเอ็มไอซิกซ์ นำไปสู่มิสเตอร์บิก พ่อค้ายาเสพติดสุดเหี้ยมบนเกาะแห่งหนึ่ง หนังได้รับคำชมในเรื่องฉากแอ็กชันและการรับบทบอนด์ครั้งแรกของมัวร์ที่มีอารมณ์ขันมากกว่าในฉบับของคอนเนอรี


The Man with the Golden Gun (1974)
กาย แฮมิลตัน ยังคงนั่งเก้าอี้ผู้กำกับเป็นเรื่องที่ 4 และเรื่องสุดท้าย โรเจอร์ มัวร์รับบทบอนด์ที่ได้รับลูกกระสุนสีทองสลักเลข 007 ซึ่งแสดงว่าเขากำลังตกเป็นเป้าหมายของเพชฌฆาตปืนทอง สคารามันกา แม้ภาพรวมจะเป็นหนังบอนด์ที่ไม่ค่อยได้รับการชื่นชมนัก แต่กลายเป็นที่จดจำของชาวไทย เพราะนี่เป็นหนังบอนด์เรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศไทย และฉากดวลกันของ 2 ตัวละครหลักที่เกาะตะปู จังหวัดพังงา ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก