จากงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94 นอกจากการที่ ‘CODA’ ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและ ‘Dune’ ก็กวาดรางวัลแล้วล่ะก็ เห็นทีคงจะเป็นเหตุการณ์ที่ ‘วิลล์ สมิธ’ (Will Smith) ตรงปรี่เข้าไปตบหน้าพิธีกรผู้ประกาศรางวัลไปหนึ่งฉาด เหตุเพราะมาบูลลีภรรยาผู้เป็นที่รักของเขา และพิธีกรผู้ถูกสมิธตบหน้าเข้าให้นั่นก็คือคริส ร็อก (Chris Rock) นั่นแหละ

‘คริส ร็อก’ เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1966 เขาเป็นนักแสดงตลกชาวอเมริกัน ผู้เป็นพี่คนโตจากของครอบครัวที่มีลูกถึง 7 คน ในวัยเด็กนั้น ร็อกถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนย่านคนขาวในแถบบรุกลิน และที่นั่นเขาก็ถูกเพื่อนนักเรียนรุมรังแกอยู่บ่อยครั้ง จนในที่สุดเขาก็ต้องออกจากโรงเรียนด้วยวัยเพียง 17 ปี แม้จะต้องออกจากการศึกษากลางคัน แต่ร็อกก็ใช้เวลาในช่วงนั้นไปทำงานในร้านฟาสต์ฟู้ด พร้อมกับสอบเทียบ GED ไปด้วย

ไม่นาน ร็อกก็เริ่มเล่นเดี่ยวไมโครโฟนที่คลับเล็ก ๆ ในมหานครนิวยอร์ก และช่วงนี้เองร็อกก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ฝึกฝีมือไต่ระดับตัวเองให้สูงเรื่อย ๆ จนในวันหนึ่ง เอ็ดดี้ เมอร์ฟี (Eddie Murphy) ก็ได้เห็นลีลาของร็อกเล่นเดี่ยวไมโครโฟนอยู่ที่ไนต์คลับแห่งหนึ่ง เมอร์ฟีรู้สึกถูกชะตากับเจ้าเด็กนี่มาก จึงเรียกร็อกมาหาพร้อมแลกเปลี่ยนคอนแท็กต์ไว้ติดต่อ ในที่สุดเมอร์ฟีก็รู้ว่าเจ้าเด็กนี่มีของ เขาจึงมอบโอกาสในวงการบันเทิงให้ร็อกเรื่อย ๆ และเดบิวต์ร็อกในภาพยนตร์เรื่อง ‘Beverly Hills Cop II‘

หลังจากนั้นร็อกก็เริ่มคลำหาลู่ทางของตนเอง โดยเขาได้เข้าร่วมการแสดงใน ‘Saturday Night Live’ ต่อมาก็ได้ไป ‘In Living Color’ ของช่อง Fox network หลังจากนั้น ร็อกก็ได้มีโอกาสร่วมแสดงและร่วมเขียนบทเรื่อง ‘CB4’ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับรางวัล CableACE Award จากภาพยนตร์พิเศษของ HBO เรื่อง ‘Big Ass Jokes’ (1994) ซึ่งนับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งในสู่อีกระดับของการแสดง

ภาพยนตร์พิเศษเรื่อง Big Ass Jokes

ไม่นาน ร็อกก็ได้พบว่าความนิยมของเขาในฐานะนักแสดงและนักแสดงตลกเริ่มลดลง นั่นทำให้เขารู้สึกหมดไฟในการเป็นนักแสดงตลก ในปี 1996 ร็อกจึงออกเดินทางเพื่อเติมเต็มแพชชันอีกครั้ง โดยเขากลับไปเล่นตลกในคลับเล็ก ๆ และได้ลองขัดเกลาเทคนิคการเล่นเดี่ยวไมโครโฟนของตนดูใหม่ ซึ่งครั้งนี้เขาได้หยิบเรื่องราวที่คนอื่นมักจะไม่เล่นกันในสมัยนั้น เช่นเรื่องเกี่ยวกับเชื้อชาติ การติดยาและความยากจนข้นแค้นของคนผิวดำ ซึ่งเขาเริ่มที่จะอำแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันเรื่องราวร็อกนำมาพูดก็เผยให้เห็นถึงความตลกร้ายในชีวิตคนผิวดำ นั่นทำให้เขาเริ่มกลับมามีบทบาทจากแรงหนุนของผู้ฟัง 

ในที่สุดร็อกก็ได้กลับมาปรากฏตัวในภาพยนตร์พิเศษเรื่อง ‘Bring the Pain’ (1997) ทางช่อง HBO ซึ่งส่งให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมีถึง 2 รางวัล สิ่งนี้ทำให้ชื่อเสียงของร็อกกลับมาอีกครั้ง และทำให้ร็อกโด่งดังไปทั่วโลก พร้อมกับได้รับเสียงวิจารณ์แง่บวกมากมาย 

ในปี 2004 ร็อกได้รับเลือกให้เป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 77 โดยการตัดสินใจให้ร็อกมาเป็นเจ้าภาพนั้น บางคนก็มองว่าเป็นคือโอกาสอันดีที่จะเป็นการนำคนชายขอบมาสู่เวทีแห่งนี้ แต่แล้วร็อกกลับเล่นตลกจนเลยเถิด เริ่มจากการที่เขาได้พูดในงานประกาศรางวัลว่า

“ยินดีต้อนรับสู่งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 77 และครั้งสุดท้าย!”

คริส ร็อก ในรางวัลออสการ์ครั้งที่ 77

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อเขาเห็นจู๊ด ลอว์ (Jude Law) เขากลับออกปากแซวลอว์อยากออกรสว่า 

“ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน” ซึ่งเป็นการแซวในเชิงว่า เขาเห็นลอว์ในหนังทุกเรื่องที่เขาดูในปีนั้น แต่ทว่าความหมายที่แท้จริงคือการล้อเลียนอย่างนัย ๆ ว่า ‘จู๊ด ลอว์ก็คือทอม ครูซเวอร์ชันราคาถูก’ ถ้าคุณหาทอม ครูซมาเล่นไม่ได้ ก็เรียกใช้จู๊ด ลอว์สิ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับดาราคนอื่นในงาน แถมร็อกยังจัดเต็มแซวคนอื่น ๆ อีกมากมายต่อไป แม้ว่าเขาจะแซวตัวเองไปในกรณีเดียวกันอย่างแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีขึ้นเลย โดยมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของออสการ์ ก็ไม่พอใจกับบทบาทพิธีกรของร็อก อีกทั้งร็อกยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูในปีนั้นด้วย

โดยในปี 2022 นี้ ร็อกก็ได้กลับมาเป็นพิธีกรงานประกาศรางวัลออสการ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่คริส ร็อกกำลังประกาศรางวัลสาขาสารคดียอดเยี่ยม โดยเขากำลังพูดแซวคนนั้นแซวคนนี้ ก่อนจะวนมาแซว ‘เจดา พิงเกตต์ สมิธ (Jada Pinkett Smith)’ ภรรยาของวิลล์ สมิธว่า 

“เจดา ผมรักคุณ นี่กำลังรอคุณไปเล่นใน GI Jane 2 ไม่ไหวแล้ว”  (โดย GI Jane มีตัวละครที่เป็นสาวหัวโล้นอยู่ในเรื่อง บริบทนี้จึงเป็นการล้อเลียนเจดาเรื่องทรงผม) แต่วิลล์ กลับไม่ขำด้วย เพราะที่เจดาต้องโกนผมนั้นเพราะเธอเป็นโรคผมร่วงนั่นเอง ซึ่งการที่คริส ร็อกไปพูดเช่นนี้จึงนับเป็นการดูหมิ่นเธอ ในที่สุดวิลล์ สมิธผู้ซึ่งเป็นสามีจึงเดินออกไปเพิ่อตบหน้าคริส ร็อก อันเป็นเรื่องราวตะลึงที่เกิดขึ้นในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งนี้

“เงียบปากไปซะ แล้วอย่ามาพาดพิงชื่อเมียฉันอีก!” วิลล์ สมิธ

แม้ว่าในท้ายที่สุดวิลล์ สมิธก็ออกมาขอโทษคริส ร็อกกับเหล่าผู้จัดงานออสการ์อย่างเป็นทางการ แต่เรื่องราวนี้คงจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ออสการ์อีกนาน และคงเป็นบทเรียนให้คริส ร็อกได้เรียนรู้ว่าควรจะพูดอะไรในเวลาไหน เพราะโลกนั้นเปลี่ยนไปทุกวัน เรื่องที่เคยพูดได้ในปีก่อนนั้น อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟในปีนี้ไปแล้ว

อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส