[รีวิว] Cyberpunk: Edgerunner อนิเมะจาก Studio Trigger ที่ทำให้ตัวเกมกลับมาขายดีอีกครั้ง
Our score
8.1

Cyberpunk: Edgerunner

จุดเด่น

  1. โทนสีที่ใช้และองค์ประกอบต่าง ๆ ถอดออกมาได้ตรงปกเกมมาก ทีมโปรดักชันศึกษาข้อมูลจากตัวเกมได้เป็นอย่างดี
  2. เนื้อเรื่องที่ครบรส 'ไม่ว่าจะสนุกมันส์ฮา' หรือ 'สยดสยองจนหดหู่'
  3. เหล่าตัวละครที่เขียนออกมาได้น่าสนใจและน่าจดจำ

จุดสังเกต

  1. รายละเอียดแอนิเมชั่นบางช่วงดูเผา
  2. ช่วงหลัง ๆ เนื้อเรื่องออกแนวดูแล้วหดหู่มาก ๆ
  3. ฉากเปลือยเยอะ ถ้าจะดูกับครอบครัวก็ระวังด้วยนะจ๊ะ
  • โปรดักชัน และ การนำเสนอ

    7.5

  • ความน่าสนใจของเนื้อเรื่อง

    8.0

  • คุณภาพงานพากย์

    8.0

  • ความคุ้มค่าในการรับชม

    9.0

อีกหนึ่งโปรเจกต์จากแฟรนไชส์ Cyberpunk โดย CDPR และ Studio Trigger ผู้มีผลงานสร้างอนิเมะอย่าง Darling in the Fraxx, Kill la Kill และ Little Witch Acadamia ในอนิเมะ Cyberpunk: Edgerunner จะเป็นการเรื่องราวการใช้ชีวิตเอาตัวรอดของ David Martinez เด็กวัยรุ่นในเมือง Night City แบบไม่มีการเชื่อมโยงใด ๆ กับเหตุการณ์หลักที่เกิดขึ้นในเกม ซึ่งก็เป็นเรื่องดีสำหรับใครที่ต้องการความสดใหม่หลังจากที่จบ Cyberpunk 2077 ไปแล้วครับ

Cyberpunk: Edgerunner จะมีทั้งหมด 10 ตอน ฉายผ่าน Netflix และสามารถรับชมได้ตั้งแต่ตอนนี้ ทางเราเองก็ไม่พลาดที่จะดูเช่นกัน หลังจากอนิเมะได้เสียงตอบรับที่ดีมาก ๆ จนส่งผลทำให้ตัวเกมสามารถกลับมาทำยอดขายได้มากกว่าเดิม 4 เท่า

ซึ่งแน่นอนเหตุนี้ก็ต้องทำเราสงสัยว่า ตัวอนิเมะทำออกมาได้ดีขนาดนั้นเลยหรอ? ทั้งที่ตัวเกมเปิดตัวได้เละไม่เป็นท่า เพราะบั๊กต่าง ๆ พร้อมกับฟีเจอร์ที่ประธาน CDPR ขี้โม้เอาไว้เยอะก่อนวางจำหน่าย สำหรับใครที่สงสัยว่าตัวอนิเมะทำออกมาได้เป็นอย่างไร ทางเราก็ได้สรุป (แน่นอนว่าไม่มีสปอย) ไว้ด้านล่างให้อ่านตามนี้เลยครับ

Story

เริ่มจากตัวละครเอกของเรา David Martinez เด็กนักเรียนกับครอบครัวหาเช้ากินค่ำ ที่ต้องเอาตัวรอดและเรียนให้จบในเมืองเส็งเคร็งสุดระยำ Night City แต่ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไปหลังจากทุกอย่างในชีวิตเขาถูกพลิกด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

คงสงสัยล่ะสิว่าทำไมผมถึงเอารูปตัวละครจากอนิเมะเรื่อง Black Lagoon มาแปะ ไม่ผิดหรอกครับเพราะในช่วงปูเรื่องของ Edgerunner ไม่แน่ใจว่าเป็นผมคนเดียวหรือเปล่านะ แต่จากที่ดูมีเค้าโครงที่คล้ายกับอนิเมะอีกหนึ่งเรื่องจาก Studio Trigger อย่าง Black Lagoon พอสมควร แบบว่า…

  • ทั้ง 2 เรื่อง เริ่มต้นด้วยพระเอกที่เปลี่ยนจากมีชีวิตที่ปกติเข้าสู่อาชญากรรม
  • ทั้ง 2 เรื่อง มีนางเอกที่ออกแนวชวนน่าสงสัย พาเข้าองค์กรอาชญากรรม
  • ทั้ง 2 เรื่อง มีตัวละครหัวหน้าเป็นคนผิวสีร่างบึก
  • และแน่นอน ทั้ง 2 เรื่อง มีที่ตั้งในเมืองที่ไร้กฎหมาย พร้อมกับเหล่าทหารรับจ้างที่ต้องไล่ฆ่ากันทุกวัน

มีความเป็นไปได้สูงว่าในช่วงเริ่มแรก หากใครที่เคยดู Black Lagoon มาก่อน อาจจะทำให้ไม่ค่อยให้รู้สึก ‘ว้าว’ กับการเดินเรื่องของ Edgerunner มากเท่ากับหน้าใหม่ในอนิเมะของ Studio Trigger นัก ถึงแม้ทั้ง 2 เรื่องจะมีผู้แต่งคนละคนก็ตาม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื้อเรื่องก็เขียนออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะเรื่องอรรถรสที่ผู้แต่งใส่เข้าไปจนครบ ทำให้ Edgerunner มีเนื้อเรื่องที่ปรุงแต่งออกมาได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ดูแล้วสนุกแบบบ้าระห่ำ, ตลกร้ายเรื่องเซ็กส์ด้วยจินตนาการระดับสยิวสุดขั้ว หรือ น่ากลัวจนทำเอาผู้ชมเป็นโรคซึมเศร้า ในเรื่องนี้จะเล่นกับเคมีในสมองของคุณครบทุกเม็ดแบบไม่ต้องนั่งสูด Copium เพื่อเติมเต็มเลย

ตัวละครในเรื่องก็มีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดา ผู้ชมสามารถรู้จักพวกเขาได้จากตัวซีรีส์โดยไม่ต้องเล่นเกมมาก่อน และสำหรับแฟนเกมในเรื่องก็จะมี Easter Egg อยู่หลายฉากให้ทุกคนได้คิดถึงตัวเกมกันอีกเช่นกัน

โดยรวมแล้ว เค้าโครงเรื่องเขียนออกมาได้ดีมาก ๆ ความน่าสนใจอยู่ในระดับเดียวกับตัวเกม Cyberpunk 2077 แต่พิเศษกว่าตรงที่ว่า Edgerunner สามารถปั่นอารมณ์ผู้ชมได้เหมือนกับรถไฟเหาะแห่งอารมณ์ และนอกจากนั้นแล้ว มีอีกหนึ่งส่วนที่ผมเพิ่มคะแนนให้ นั่นก็คือตัวอนิเมะไม่มี Cliffhanger ที่ชวนให้ผู้ชมหงุดหงิดเกินไปในตอนท้าย

Presentation

Edgerunner เป็นอนิเมะไม่กี่เรื่องใน Netflix ตอนนี้ที่รองรับ Dolby Vision ถ้าจอของคุณรองรับ HDR อย่างดี จะรู้สึกถึงความตระการตาของแสงสีที่ขับเสน่ห์ของเมืองที่โหดร้ายนี้ออกมาได้เลย แต่ Edgerunner ก็มีบางช่วงที่ดูเผา (ซึ่งผมเองก็รู้ดีว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของสตูดิโอนี้ แต่จะไม่ขอยกเว้นมันละกันนะ) แต่ในเรื่องการใช้โทนสีที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์ Cyberpunk รวมไปถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เหมือนกับ Night City ในเกมมาก ทางทีมงานสามารถทำเอาผู้ที่เคยออกผจญภัยแดนราตรีนี้มาก่อนถึงกับอึ้งเลยก็ว่าได้ครับ เพราะมีอยู่หลายจุดมาก หากเอามาเทียบกับในเกมเรื่องความเหมือนนี่ ให้เอามาปากกามาวงจับผิดยังไงก็วงไม่ติดครับ

การออกแบบตัวละคร ในเรื่องการดีไซน์ไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะตามที่กล่าวไว้ในส่วน Story ถ้าใครเคยดู Black Lagoon มาก่อนจะไม่ค่อยว้าวเท่าไหร่ แต่ทางทีมงานก็เขียนความเป็นมาของพวกเขาออกมาให้ผู้ชมรักเหล่าตัวละครหลักได้ดีมาก ๆ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องขอชม

ถึงแม้ผู้ชมส่วนใหญ่จะเทเสียงบอกรักให้กับเหล่าตัวละครสาว ๆ อย่าง Lucy นางเอกของเรื่อง หรือ Rebbecca สาวน้อยปืนระห่ำก็ตาม แต่ทางนี้ขอเชียร์พระเอกของเรื่องมากกว่า เพราะชีวิตน่าสงสารสุด ๆ ไปเลย เจอแต่เรื่องเฮงเซ็งหมาไม่รับประทานได้ทั้งเรื่อง แต่ก็ยังดีว่าเจ้าตัวดูมี Personality เป็นของตัวเอง ไม่เหมือนพระเอกอนิเมะทั่วไปที่แต่ละเรื่องที่ออกแนว Nice Guy ดูว่างเปล่า และจบเรื่องด้วยพลังมิตรภาพขี้โม้อะไรแบบนั้นครับ

สุดท้าย ขอยกเรื่องงานพากย์ถือว่าเป็นเสน่ห์ของเรื่องอีกอย่างเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะพากย์ไทยคำหยาบนี่จัดเต็มสุด ๆ ในส่วนของพากย์ญี่ปุ่นก็ดีไม่แพ้กัน และด้วยเพลงประกอบฉากต่าง ๆ ที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษ หรือ แม็กซิกัน ในบางช่วงดูแล้วก็เหมือนกับได้รับอรรถรสการผสมวัฒนธรรมแบบใหม่ที่ดูแล้วแปลกดีแต่ก็ชอบ ก็นะ!! อนิเมะเรื่องนี้มีทีมโปรดักชันที่รวมชาวตะวันตกกับญี่ปุ่นเอาไว้นี่นะ

Verdict

โดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอนิเมะในซีซันนี้ที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ ถึงแม้คุณจะไม่ได้เป็นแฟนเกม หรือผิดหวังกับ Cyberpunk 2077 มาแล้วก็ตาม บอกได้เลยว่าตัวอนิเมะจะไม่เละเทะเหมือนกับเกมอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะมีเนื้อเรื่องที่ครบรสแล้ว ก็มีการนำเสนอองค์ประกอบต่าง ๆ จากเกมที่ทางทีมโปรดักชันศึกษามาเป็นอย่างดีอีกด้วย รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและตัวละครที่น่าจดจำอีก

สำหรับใครที่สนใจสามารถรับชมผ่านทาง Netflix ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ส่วนใครที่อยากจะลองเล่นตัวเกมในขณะนี้ก็ยังมีโปรโมชั่นลดราคาจากป้าย 50% บน Steam เหลือ 899.50 บาท ไปจนถึงวันที่ 26 กันยายนนี้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส