[รีวิว] The Gray Man: ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรค้างจำ
Our score
6.5

Release Date

22/07/2022

ความยาว

122 นาที

[รีวิว] The Gray Man: ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรค้างจำ
Our score
6.5

The Gray Man

จุดเด่น

  1. นักแสดงคับคั่ง โปรดักชันใหญ่ระดับบล็อกบัสเตอร์ ทีมสร้างชั้นนำ

จุดสังเกต

  1. เนื้อหาธรรมดา เล่ายืดเยื้อเกินไปจากที่สนุกตื่นเต้นก็กลายเป็นเฉยชา โดยเฉพาะครึ่งหลังที่ฉากต่อสู้สนุกสู้ตอนแรกไม่ได้
  • บท

    5.0

  • โปรดักชัน

    8.5

  • การแสดง

    7.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    7.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    7.5

เรื่องย่อ: หมายเลข 6 เป็นนักฆ่าลับในโครงการเซียร์ร่าของรัฐบาล จนวันหนึ่งเขาพบว่าคนที่เขาฆ่าคือนักฆ่าในโครงการเดียวกัน และผู้ควบคุมโครงการในปัจจุบันมีความลับซ่อนอยู่ เพื่อหาความจริงเขาจึงถูกทีมนักฆ่าตามล่าโดยต้องหาวิธีช่วยชีวิตของตัวประกันที่เคยมีบุญคุณต่อเขาไปพร้อมกัน

แม้ตัวหนังจะอิงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันในปี 2009 ที่สร้างชื่อให้ มาร์ก เกรียนีย์ (Mark Greaney) แจ้งเกิดจนกลายเป็นนักเขียนแนวสายลับผู้ได้รับไม้ต่อให้สืบทอดตำนานของปรมาจารย์อย่าง ทอม แคลนซี (Tom Clancy) ในเวลาต่อมา แต่กว่ามันจะถูกดัดแปลงมาสู่หนังก็ผ่านมาถึงหนึ่งรอบนักษัตร แน่นอนว่าพล็อตหรือมุกอะไร ๆ ก็คงไม่สดใหม่อีกต่อไปแล้ว ว่ากันตามจริงดูตัวอย่างหนังก็แทบรู้เรื่องทั้งหมดแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องราวของสายลับนักฆ่าไร้นามที่ถูกลบประวัติเหลือเพียงตัวเลขเป็นชื่อแทนตัว มันก็มีเสน่ห์มาเสมอล่ะนะ

ยิ่งเมื่อเน็ตฟลิกซ์ทุ่มทุนสร้างกว่า 200 ล้านดอลลาร์มากสุดที่เคยทำมา โดยดึงทีมผู้สร้างคิวทองจาก ‘Avengers: Endgame’ อย่างสองพี่น้อง แอนโธนี และ โจ รุสโซ (Anthony and Joe Russo) มากำกับ แม้ว่าผลงานก่อนหน้าของพวกเขาทั้งคู่อย่าง ‘Cherry’ (2021) ที่ขนาดได้ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) พระเอกจากหนัง ‘Spider-man: No Way Home’ (2022) มารับบทนำให้บริการสตรีมมิงของ Apple TV+ จะพูดว่าประสบความสำเร็จได้ไม่เต็มปากก็ตาม

The Gray Man

แต่ใครได้ดูก็ต้องยอมรับว่าหนังมีความเนี้ยบอยู่มาก ทว่าการตีความนิยายให้เล่าสนุกอาจไม่ค่อยได้ผลดีเท่าไรนัก กับเรื่องนี้ก็เช่นกันเหมือนสองพี่น้องรุสโซจะหาทางข้ามความเชยของตัวนิยายด้วยโปรดักชันเข้าว่าแทน

ซึ่งโปรดักชันที่ว่าแค่ไล่เรียงมาก็แทบเอาอยู่แบบไม่ต้องไปดูหนังจริงก็รู้ อย่างการเอาพระเอกมากเสน่ห์แห่งยุคสองคนมาปะทะกันให้สาว ๆ คลั่งตายทั้ง ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) ในบทนักฆ่าหมายเลข 6 ที่ต้องหนีการตามล่าจาก คริส อีแวนส์ (Chris Evans) ที่ปรับลุกขรึมจากกัปตันอเมริกามารับบท ลอยด์ แฮนเซน นักล่าหนวดจิ๋มปากแจ๋วจนแปลกตา เอาว่าแค่นี้ก็ต้องดูแล้ว

แต่ยังไม่พอหนังยังมี อนา เดอ อาร์มาส (Ana de Armas) ที่ฮอตปรอทแตกจาก ‘No Time to Die’ (2021) มารับดอกไม้หนึ่งเดียวของหนังถึงจะไม่ได้โชว์เซ็กซี่มากเท่าหนังก่อนหน้าของเธอ แต่ใบหน้าสวย ๆ ของเธอก็ยังทำงานได้ดีสำหรับคอหนังหนุ่มที่ไม่ได้พิศวาสคู่นำชาย

และคอหนังยุค 90s ก็ยังไม่ได้เหงาเพราะผู้สร้างก็ไปดึงดารารุ่นใหญ่ที่ไม่เห็นหน้าในหนังบล็อกบัสเตอร์แบบนี้นานแล้วนับแต่ ‘Eagle Eye’ (2008) หรืออาจถึง ‘Armageddon’ (1998) เลยด้วยซ้ำอย่าง บิลลี บ็อบ ธอร์นตัน (Billy Bob Thornton) มารับบทอดีตครูฝึกของโครงการนักฆ่าให้หายคิดถึง

The Gray Man

ไม่พอถ้าหนังดูขายตะวันตกมากไป ทีมสร้างยังไปชวน ธานัช (Dhanush) นักแสดงและนักร้องคนดังของบอลลีวูดมาชิมลางโกอินเตอร์ครั้งแรกกับบทบาทนักฆ่าชาวเอเชียที่มีฉากซูเปอร์ฮีโรแลนดิ้งหนึ่งเดียวในหนังอีกด้วยคือเอาใจคนดูฝั่งตะวันออกด้วย

The Gray Man

และถ้าหนังจะดูเข้มเกินไปก็ยังมีหนูน้อย จูเลีย บัตเทอร์ส (Julia Butters) ที่เคยต่อปากต่อคำกับ ลีโอนาร์โด ดิแคพริโอ (Leonardo DiCaprio) ในหนัง ‘Once Upon a Time in… Hollywood’ (2019) จนเป็นมีมฉากจำหนึ่งมาแล้วมารับบทตัวประกันที่หมายเลข 6 ต้องตามช่วยด้วย

The Gray Man

คือแค่เลือกนักแสดงก็เก็บกินทุกทางยังไงก็ต้องมีคนอยากดู ซึ่งก็น่าดูจริงตั้งแต่คู่นำชายแล้ว

The Gray Man

หนังยังประสบความสำเร็จในการออกแบบฉากแอ็กชันที่ตื่นตาตื่นใจ เลือกสถานที่ถ่ายทำไปหลายประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป เริ่มจากไทยในตอนเปิดเรื่องที่เป็นฉากลอบฆ่าในภัตราคารหรูในวันปีใหม่ที่โชว์การต่อสู้ในคลับที่คนพลุกพล่านแสงไฟสาดไปมา มีฉากเอาตัวรอดบนเครื่องบินที่กำลังตกสุดตื่นตา ฉากการต่อสู้กลางลานน้ำพุสาธารณะกลางวันแสก ๆ ที่ตัวร้ายรวมกันมาอย่างกับเกมคอมพิวเตอร์ และจบด้วยฉากการต่อสู้บนรถรางไฟฟ้าถล่มเมือง คือวินาศสันตะโรวอดวายสะใจมาก ๆ เอาว่าแค่นี้ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ไคลแมกซ์ครึ่งหลัง หนังก็โคตรน่าดูแล้วสำหรับคอบู๊

The Gray Man

ที่ว่ามาทั้งหมดมันเป็นสูตรสำเร็จที่หนังออกมายังไงคนก็ต้องพูดถึง แต่ในส่วนความประทับใจอาจต้องบอกว่าภาพรวมของหนังออกจะเนือยไปสักหน่อย ไม่ใช่ว่าหนังทำฉากต่อสู้ไม่เร้าใจแต่กลับกันเสียอีกหลายฉากทำได้ตื่นตาตื่นใจมากยิ่งฉากตะลุมบอนกลางเมืองในปราก นี่คือเอาใจแฟนเกมอย่าง ‘Call of Duty’ หรือ ‘The Division’ แบบดูแล้วขนลุกเลยทีเดียว แต่มันดีเป็นฉาก ๆ ไปถ้าหนังแบ่งเป็นแชปเตอร์ตามฉากแอ็กชันเราอาจมาจัดอันดับพูดคุยแยกเป็นฉาก ๆ กันสนุกได้เลย บางฉากอาจ 10/10 ด้วยซ้ำ แต่พอพูดถึงหนังทั้งเรื่องด้วยเนื้อหาที่ไม่มีอะไรเลยแต่ดันยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่า มันทำให้เรารู้สึกว่ามากเกินไปนานเกินไปไอ้ที่เคยสนุกก็เริ่มหมดมนต์ ยิ่งครึ่งหลังหนังลดดีกรีความเข้มข้นลงนิดหน่อยด้วยแล้ว พอไม่พาอารมณ์ร่วมให้พุ่งทะยานขึ้นไปอีก มันก็กลายเป็นความน่าเบื่อไปแทน

The Gray Man

อย่างไรก็ตาม ลางเนื้อชอบลางยา หมายถึงบางคนอาจไม่ถูกรสกับวิธีเล่าแบบนี้ แต่บางคนก็อาจถูกชะตาและชอบมาก ๆ ตลอดความยาวของหนังก็ได้ แต่โดยส่วนตัวก็ต้องบอกว่านี่เป็นหนังที่มีแต่ความยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ และยิ่งใหญ่เข้าว่าดูเพลินในเวลาว่างแต่ไม่ได้อยากทิ้งความประทับใจอะไรให้สักเท่าไรนัก

และถ้าจะมีอะไรอยากแซวหนังก็คงเป็นชื่อไทยที่ว่า ล่องหนฆ่า ที่เอาจริงไม่มีอะไรที่แกจะดูล่องหนสักนิดทั้งระเบิดเมืองวอดวาย และยังเป็นฝรั่งหัวทองที่ขับรถตุ๊กตุ๊กจากกรุงเทพไปเชียงใหม่คนเดียว ดูยังไงก็โคตรเด่นเลยครับ

The Gray Man

อ่านต่อ: สัมภาษณ์ พี่น้องรุสโซ กับเบื้องหลังงานสร้างสุดอลังการ ใน ’The Gray Man’

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส