ถ้าพูดถึงนักเขียนสยองขวัญชื่อดังของฝั่งสหรัฐฯ ชื่อแรกที่ทุกคนนึกออกก็ต้องเป็น สตีเฟน คิง (Stephen King) แต่ถ้าทางฝั่งอังกฤษก็ต้องยกให้เขาคนนี้ ไคลฟ์ บาร์เกอร์ (Clive Barker) ศิลปินผู้มีความสามารถรอบด้าน ทั้งเป็นนักประพันธ์, นักเขียนบทภาพยนตร์, ผู้อำนวยการสร้าง และ กำกับหนังที่ดัดแปลงจากนิยายของตัวเองมาแล้ว 3 เรื่อง

ไคลฟ์ บาร์เกอร์ (ซ้าย) และ สตีเฟน คิง (ขวา)

ปัจจุบันบาร์เกอร์อายุ 69 ปีแล้ว ตลอดชีวิตเขามีผลงานนิยายออกมา 18 เรื่อง หลายเรื่องถูกดัดแปลงไปเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่เรื่องที่เป็นที่กลายเป็นตำนานและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็คงจะหนีไม่พ้น แฟรนไชส์ Hellraiser หรือชื่อไทยว่า “ปิดเปิดผี” ที่มีภาคต่อรวม ๆ กันแล้วถึง 10 ภาค และภาคที่ 11 ก็มีกำหนดจะสตรีมมิงทาง Hulu วันที่ 7 ตุลาคมนี้แล้ว

Hellraiser เป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือ ‘The Hellbound Heart’ ตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1986 เรื่องราวจุดกำเนิด และเป็นการแนะนำเหล่าทูตนรกที่มีชื่อเรียกว่า ซีโนไบท์ (Cenobites) ถ้าผู้ใดสามารถแก้ปริศนาหมุนกล่องรูบิคปริศนาได้ เหล่าซีโนไบท์ก็จะออกมาสังหารผู้ที่เปิดกล่องด้วยวิธีการสุดสยดสยอง

เหล่าซีโนไบท์

กลุ่มซีโนไบท์นี้มีหลายตน แต่รายที่เป็นที่รู้จักมากสุดก็คือ Pinhead หรือชื่อที่คนไทยเรียกว่า ‘ไอ้หัวตะปู’ แต่ชื่อจริงของมันตามที่บาร์เกอร์เขียนไว้ในนิยายก็คือ “The Hell Priest” ได้กลายเป็นคาแรกเตอร์ประจำจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟรนไชส์ชุดนี้ไปแล้ว และจะต้องปรากฏตัวออกมาใน Hellraiser ทุกภาค

ใน Hellraiser ภาคแรกเมื่อปี 1987 นั้น ไคลฟ์ บาร์เกอร์ เหมาหน้าที่ทั้งดัดแปลงนิยายตัวเองเป็นบทภาพยนตร์และกำกับเองด้วย เขาจึงถ่ายทอดตัวตนของ Pinhead ได้ออกมาชัดเจนที่สุด แม้ว่าภาพลักษณ์ของ Pinhead จะดูน่ากลัว ผิวขาวซีด ศีรษะล้านเลี่ยนและเต็มไปด้วยเข็มนับร้อยเล่มทิ่มไปทั่วทั้งหัว จึงเป็นที่มาของฉายา ไอัหัวตะปู แต่ที่จริงแล้ว Pinhead เป็นหนึ่งในอสูร Cenobite ที่มีความสุขุมเคร่งขรีมที่สุด มีเจตนาเด่นชัด การสังหารเหยื่อแต่ละรายมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนไม่ได้ฆ่าใครพร่ำเพรื่อ

แต่เมื่อหนังประสบความสำเร็จ ลิขสิทธิ์การสร้างอยู่กับสตูดิโอ New World Pictures และถูกส่งต่อให้กับ Dimension Film ซึ่งบาร์เกอร์ไม่ได้ตามมาควบคุมการผลิตอีกต่อไป ภาคต่ออีก 10 เรื่องก็เปลี่ยนมือผู้กำกับ ผู้เขียนบท ไปเรื่อยในแต่ละภาค แต่มีจุดหนึ่งที่แฟรนไชส์ยังคงไว้ก็คือ ตัว Pinhead ที่หลัง ๆ นั้นไม่เหลือความสุขุมและกลายเป็นอสุรกายจากนรกสุดโหดที่ฆ่าเหยื่อโดยไม่มีเหตุผลอีกต่อไปแล้ว ผู้สร้างก็คอยแต่คิดฉากฆ่าอย่างไรให้ Pinhead ลงมือได้โหดสะใจคอหนังสยองขวัญ

ไคลฟ์ บาร์เกอร์ ตอนที่กำกับ Hellraiser (1987)

บทความนี้จะพาย้อนไปอ่านวิวัฒนาการของ Pinhead ในแต่ละยุคสมัยกันแบบคร่าว ๆ ครับ เพื่อบิลท์อารมณ์ก่อนรับชม Hellraiser (2022) ภาคใหม่พร้อมกันเดือนหน้านี้แล้ว

Pinhead เวอร์ชันต้นฉบับของ ไคลฟ์ บาร์เกอร์ ใน Hellraiser (1987)

เป็นภาคเดียวที่ถ่ายทอดตัวตนของ Pinhead ได้มีเอกลักษณ์ตรงตามนิยายที่สุด เพราะกำกับโดย ไคลฟ์ บาร์เกอร์ ผู้เขียนและเป็นผู้สร้าง Pinhead ขึ้นมาเอง ในภาคนี้เล่าเรื่องราวของ คริสตี้ คอตตอน รับบทโดย แอชลีย์ ลอเรนซ์ (Ashley Laurence) เธอสามารถแก้ปริศนากล่องรูบิค The Lament Configuration ได้สำเร็จ เหล่าซีโนไบท์จึงยกโขยงกันปรากฏตัวออกมา นำทัพโดย Pinhead ในภาคนี้รับบทโดย ดัก แบรดลีย์ ตามมาด้วย Chatterer, Open และ Butterball ทั้งหมดมีเป้าหมายคือนำตัวคริสตี้ไปนรก แต่คริสตี้ก็ยื่นข้อเสนอว่า เธอจะช่วยชี้เป้าให้เหล่าซีโนไบท์ไปจับตัว ลุงแฟรงค์ แทน เพราะลุงแฟรงค์เคยหนีจากนรกอเวจีมาได้ แล้วทุกวันนี้กลายเป็นมนุษย์ที่กินคนเพื่อฟื้นฟูร่างกายตัวเอง ตัดฉับไป เหล่าซีโนไบท์จับตัวลุงแฟรงค์มาฉีกร่างได้สำเร็จ แต่สุดท้ายเหล่าซีโนไบท์ก็ยังคงยึดมั่นตามภารกิจเดิมนั่นคือ จะต้องจับตัวคริสตี้กลับนรกไปด้วยให้ได้ แต่คริสตี้ก็แก้ปริศนากล่อง The Lament Configuration ได้อีกครั้ง ด้วยการหมุนกล่องกลับทาง เป็นการส่งเหล่าซีโนไบท์กลับไปยังนรก

The Lament Configuration

Pinhead ในภาคนี้มีความสุขุมเยือกเย็น แล้วฆ่าคนตามเป้าหมายในภารกิจจากนรกเท่านั้น ไม่ได้เป็นอสูรที่ฆ่าคนอย่างไร้เหตุผล และ Pinhead เองยังได้ให้คำจำกัดความถึงตัวตนของเหล่า Cenobites ไว้ในช่วงท้ายเรื่อง ตอนที่คริสตี้ถาม Pinhead ว่าพวกแกคือตัวอะไร Pinhead ก็ตอบว่า
“Explorers in the further regions of experience. Demons to some, angels to others”

ส่วนตัว ไคลฟ์ บาร์เกอร์ เองก็บรรยายถึงเหล่าซีโนไบท์ไว้ว่า พวกเขาคือ “นักล่าจากต่างโลก หาใช่เหล่าฆาตกรที่ไร้ความปราณี” แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า น่าเสียดาย ที่บาร์เกอร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในหนังภาคต่อ ตัวตนของ Pinhead และเหล่าซีโนไบท์จึงต้องสูญเสียเอกลักษณ์ตัวตนไปจากจุดเริ่มต้นที่บาร์เกอร์ได้วางไว้อย่างไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไป

Pinhead กลายเป็นทูตนรกที่เสพติดการฆ่าใน Hellraiser III: Hell on Earth (1992) และ Hellraiser: Bloodline (1996)

Hellbound: Hellraiser II (1988) หนังภาค 2 นั้น บาร์เกอร์ได้ถอยหลังมาอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง ยังพอได้คุมทิศทางเรื่องอยู่บ้าง ด้วยการพาคนดูไปรู้จุดกำเนิดของ Pinhead ว่าเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน เขาเป็นทหารอังกฤษชื่อ เอลเลียต สเปนเซอร์ แล้วทิ้งท้ายตอนจบไว้ให้ Pinhead โดนขังไว้ในกล่องชื่อ “Pillar of Souls” พอต่อยอดมาถึงภาค 3 ลิขสิทธิ์หนังถูกส่งต่อจาก New World Pictures มาอยู่กับ Dimension Films ซึ่งคราวนี้ล่ะ บาร์เกอร์ไม่ได้ตามมาควบคุมผลงานของตัวเองอีกต่อไปแล้ว หนังตกอยู่ในมือของผู้กำกับ แอนโธนี ฮิกคอกซ์ ส่วนบทอยู่ในความรับผิดชอบของ ปีเตอร์ แอตกินส์ และ โทนี แรนเดล คนนี้เคยกำกับ Hellbound: Hellraiser II ด้วย 3 คนนี้ก็เลยละเลงหนังได้ตามใจตัวเองโดยไม่ต้องเกรงใจบาร์เกอร์อีกต่อไปแล้ว

Hellraiser III: Hell on Earth

เรื่องราวของ Hellraiser III: Hell on Earth ก็เขียนให้ Pinhead กลายเป็นอสูรที่ฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง รอบนี้ Pinhead หลุดมาในไนต์คลับ แล้วก็ฆ่าหมู่นักเที่ยวอย่างสนุกสนาน แถมยังแปลงบางคนให้กลายเป็นซีโนไบท์อีกด้วย

แองเจลิค เจ้าหญิงแห่งนรก

พอมาถึง Hellraiser: Bloodline (1996) รอบนี้เนื้อหาค่อนข้างหลุดโลกไปไกลเลย เพราะเล่าเรื่องราวของ Pinhead ในโลกอนาคตปี 2127 นู่นเลย เมื่อ Pinhead ไปร่วมมือกับ แองเจลิค เจ้าหญิงแห่งนรก พยายามจะเปิดประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับนรกให้เป็นการถาวร แล้วจะยกทัพซีโนไบท์มาครองโลกมนุษย์ ในฐานะที่เป็นหนังภาคที่ 4 แล้ว ตัวหนังเริ่มจะเดินหน้าไปในรูปแบบเดิม ๆ ผู้ชมที่ติดตามมาตลอดเริ่มจะเดาทิศทางของหนังได้ไม่ยากแล้ว Pinhead มักจะฆ่าเหยื่อด้วยวิธีการเดิม ๆ แทบไม่เหลืออะไรให้คนดูคาดหวังได้อีกต่อไป

ผ่านมา 4 ภาค เราได้เห็น Pinhead ไปอวกาศ ไปโลกอนาคต แล้วก็ตายแล้วตายอีกอยู่นั่นแหละ คนดูก็เริ่มจะเอือมกับตัว Pinhead กันแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าภาค Bloodline ได้ทำหน้าที่ปิดฉากหนัง Hellraiser ที่จะได้ฉายในโรงอีกต่อไป หนังออกมาแย่ที่สุดในจำนวน 4 ภาค ถึงขนาดที่ว่าผู้กำกับ เควิน ยากเฮอร์ ขอให้ถอดชื่อเขาออกจากเครดิตทีเถิด เพราะทนอับอายไม่ไหว นักวิจารณ์โขกสับเสียเละเทะ เหมารวมไปถึง Hellraiser III: Hell on Earth ภาคก่อนหน้านั้นด้วยเลย

ดัก แบรดลีย์ ผู้รับบท Pinhead มายาวนาน

ริชาร์ด ฮาร์ริงทัน นักเขียนจาก Washington Post บอกว่า “ถ้า ดัก แบรดลีย์ ผู้รับบท Pinhead ได้นักเขียนที่เคยเขียนให้ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ มาเขียนบทให้ ภาคต่อไป เราคงเห็น Punhead”

Pinhead ในยุคนี้ถูกนักเขียนแปรสภาพไปจนสะเปะสะปะเสียแล้ว คาดการณ์ได้เลยว่า Pinhead ในอนาคตหลังจากนี้คนเขียนคงจะไม่สนใจภาพลักษณ์ของ Pinhead เวอร์ชันต้นฉบับอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นการดีแล้วล่ะ ที่หนัง Hellraiser ภาคต่อจากนี้จะเป็นหนังที่สร้างลงแผ่นดีวีดีโดยตรงไปเลย

Hellraiser ยุคหนังแผ่นดีวีดี Hellraiser: Inferno (2000) ไปจนถึง Hellraiser: Judgement (2018)

อย่างที่หลายคนคาดเดา เมื่อผ่านเข้ายุค 2000 แล้ว แฟรนไชส์ที่มีอายุเกือบ 20 ปีเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีอีกต่อไป Hellraiser: Inferno (2000) ประเดิมเรื่องแรกที่สร้างลงแผ่นดีวีดี แต่ภาคนี้ Pinhead ก็ปรากฏตัวออกมาน้อยมาก สร้างความผิดหวังต่อแฟน ๆ ที่รอคอย แล้วตัวหนังก็แทบไม่เหลือคุณค่าเดิม ๆ ของแฟรนไชส์ชุดนี้อีกต่อไป

แอชลีย์ ลอเรนซ์ ในบท คริสตี้

Hellraiser: Hellseeker (2002) ภาคนี้ไปดึงเอา แอชลีย์ ลอเรนซ์ กลับมารับบทคริสตี้อีกครั้ง แต่ว่าหนังก็เขียนให้ฉากสยองเกิดขึ้นในความฝันทั้งใน Inferno และ Hellseeker ทำให้ฉากฆ่าของ Pinhead นั้นออกมาดูคลุมเครือ คนดูได้เห็น Pinhead ปรากฏตัวออกมาฉากหนึ่ง ฉีกร่างเหยื่อด้วยโซ่ แล้วตั้งแต่ฉากนี้ คนดูก็ต้องคอยตีความว่าฉากที่ดูอยู่นี่ตกลงเกิดขึ้นจริงหรือเป็นฉากที่เกิดขึ้นในความฝันกันแน่

ส่วนภาคต่อ ๆ มาจากนั้น Hellraiser: Hellworld (2005), Revelations และ Hellraiser: Judgement (2018) ก็แทบไม่มีอะไรน่าพูดถึง บทหนังก็เขียนให้ Pinhead ปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างสถานะ Pinhead กับตัวตนภาคมนุษย์ ก็ยิ่งทำให้คนดูสับสนมากขึ้น

Hellraiser ในยุคนี้โดนนักวิจารณ์สาดเสียเทเสีย ถึงขนาดว่า ดัก แบรดลีย์ ผู้รับบท Pinhead มายาวนานยังขอโบกมือลาบทนี้ไปหลังจากภาค Hellraiser: Hellworld

The Scarlet Gospels

ส่วน ไคลฟ์ บาร์เกอร์ ผู้ให้กำเนิด ก็กลับไปเขียนนิยายภาคต่อจาก The Hellbound Heart ในชื่อ The Scarlet Gospels เพื่อตอบสนองต่อแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานของเขาและชื่นชมในตัว Pinhead นิยายตอนนี้ก็เลยเล่าเรื่องราวของ Pinhead เป็นหลัก หรือ The Hell Priest ชื่อดั้งเดิมที่บาร์เกอร์ตั้งไว้

Hellraiser ของ Dimension Films มาถึงจุดสิ้นสุดใน Hellraiser: Judgement (2018) และในปีเดียวกันนั้น บาร์เกอร์ก็มาร่วมมือกับ HBO พยายามปลุกปั้น Hellraiser ขึ้นมาใหม่ในรูปแบบทีวีซีรีส์ โปรเจกต์นี้ดูน่าสนใจทีเดียว เพราะได้ เดวิด กอร์ดอน กรีน (David Gordon Green) ที่ประสบความสำเร็จมาจาก Halloween (2018) มารับหน้าที่กำกับ แถมยังมีข่าวอีกด้วยว่า ดัก แบรดลีย์ จะกลับมารับบท Pinhead อีกด้วย แต่ก็ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด โปรเจกต์นี้จึงถูกยกเลิกไป

Hellraiser (2022)

ก็รอลุ้นกันต่อไปว่า Pinhead ในเวอร์ชัน 2022 นี้ จะออกมาน่ากลัวเพียงใด แต่แค่เปิดตัว Pinhead ในภาพลักษณ์ของเพศหญิงนี่ ก็ทำเอาแฟน ๆ ชะงักกันไปพอดูเหมือนกัน ที่เหลือก็รอลุ้นของจริงล่ะครับ อย่างน้อยก็มีชื่อ ไคลฟ์ บาร์เกอร์ อยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างก็พอฝากความหวังได้หน่อยล่ะนะ ว่ารอบนี้จะสามารถกู้ชื่อแฟรนไชส์ Hellraiser ให้กลับมาเป็นที่ยอมรับได้อีกครั้ง หลังจากออกทะเลมานานแสนนาน

ที่มา ที่มา ที่มา