Fast and Furious 9 หรือชื่อที่ผู้สร้างใช้ทำการตลาดอย่างเป็นทางการว่า F9 ภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ทรงคุณค่า ที่ใกล้เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว หนังลงโรงฉายในบ้านเราไปเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว ผ่านไป 6 เดือน F9 ก็ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อมาสตรีมมิงทาง Netflix และขึ้นอันดับ 1 เบียดแชมป์เก่าอย่าง Hunger ได้ภายในเวลาไม่กี่วัน

F9 ลาโรงฉายไปด้วยตัวเลข 720 ล้านเหรียญ นับเป็นภาคที่ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ถ้ามองที่ทุนสร้าง 200 ล้าน ก็นับว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น่าพอใจนัก ถ้าเทียบกับ Furious 7 ภาคที่ทำเงินไปได้มากที่สุด 1,514 ล้าน จากทุนสร้างที่ 190 ล้าน ใช้ทุนสร้างต่ำกว่าแต่ทำรายได้ไปเกิน 2 เท่าของ F9 แม้กระทั่งภาคแยก Hobbs & Shaw ที่ไม่ใช่หนังรวมดาราอย่างแฟรนไชส์หลัก ก็ยังทำตัวเลขไปได้ที่ 760 ล้านเหรียญ มากกว่า F9 อีกด้วยซ้ำ แต่ในฐานะที่หนังยังคงทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ แล้วเหลืออีกแค่ 2 ภาคก็จะปิดตำนาน Fast ตามแผนการ สตูดิโอก็ยังคงไฟเขียวเดินหน้าเต็มกำลัง และยังคงดึงนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดมาเสริมทัพอยู่เรื่อย ๆ แต่ก่อนที่เราจะได้ดู Fast X กันในเดือนหน้านี้ ก็ปูอารมณ์ด้วยการดู F9 บนจอเล็ก ๆ ที่บ้านไปก่อน พร้อมเรื่องราวเบื้องหลังน่าสนใจหลากหลายที่หยิบมาฝากกันในบทความนี้ก็หวังว่า น่าจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมได้มากขึ้นสักหน่อยนะครับ

1.น่าสงสาร Red Digital Cinema บริษัทผู้ผลิตกล้องและอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันที่โดดลงมาผลิตสมาร์ตโฟนในชื่อ “Hydrogen One” แล้วทุ่มอัดเงินโฆษณาให้กับ F9 เพื่อไทอินให้ Hydrogen One ได้เข้าไปอยู่ในหนังด้วย แต่ก็ขายไม่ดี ผู้ผลิตก็เลยถอดใจ ขอโบกมือลาจากธุรกิจสมาร์ตโฟน แต่เงินก็จ่ายให้ยูนิเวอร์แซลไปแล้วทำอะไรไมได้ กว่าหนังจะปิดกล้อง เลื่อนแล้วเลื่อนอีกเผื่อหลบสถานการณ์โควิด-19 ผลก็คือ วันที่ F9 ออกฉาย ก็นับเป็นเวลากว่า 1 ปี ที่ Hydrogen One ออกจากตลาดสมาร์ตโฟนไปแล้ว

คริส มอร์แกน

2.คริส มอร์แกน (Chris Morgan) เป็นมือเขียนบทที่อยู่ประจำแฟรนไชส์มายาวนาน เขาร่วมเขียนบทมาตั้งแต่ 2 Fast 2 Furious (2003), F9 ภาคนี้ นับเป็นภาคแรกที่ มอร์แกนไม่ได้กลับมาส่วนร่วมด้วย ภาคนี้เป็นผลงานเขียนบทโดย เดวิด เคซีย์ และ จัสติน ลิน ผู้กำกับ

3.วินเซนต์ ซินแคลร์ (Vincent Sinclair) ลูกคนกลางและลูกชายเพียงคนเดียวของ วิน ดีเซล ร่วมแสดงใน F9 ด้วย รับบทเปฺ็นลูกชายของ โดมินิก ทอเรตโต ในชื่อ “Little Brian” วิน ดีซเล มีลูก 3 คน คนโตเป็นลูกสาว คนกลางเป็นลูกชาย และคนสุดท้องเป็นลูกสาว

4.จัสติน ลิน (Justin Lin) เป็นแฟนตัวยงของยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ส เขาชื่นชอบสตูดิโอนี้มาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นไอเดียของลินที่เลือกใช้โลโก้ของยูนิเวอร์แซลในยุค 80’s มาใช้ตอนเปิดเรื่อง

5.ในช่วง 10 นาทีแรกของหนัง ให้สังเกตจะเห็นรถ Dodge Charger 500 รุ่นปี 1970 อยู่ในโรงนาของดอม รถคันนี้เรียกได้ว่าเป็นรถคู่ใจของดอม ที่เขาขับใน Furious (2001), Fast & Furious (2009), Fast Five (2011), และ Furious 7 (2015) แม้ว่าเราจะได้เห็นรถคันนี้พังไปแล้ว แต่ก็ให้เข้าใจตามกันไปว่า ดอมเก็บเศษซากมันกลับมาซ่อมคืนสภาพเดิม

6.มีนักแสดง 3 คนใน F9 ที่อยู่มาตั้งแต่ภาคแรก The Fast and the Furious (2001) คือ วิน ดีเซล, มิเชล โรดริเกซ และ จอร์ดานา บริวสเตอร์

7.F9 มีความยาวที่ 142 หรือ 2 ชั่วโมงกับอีก 22 นาที นั่นทำให้ F9 เป็นภาคที่มีความยาวที่สุดในแฟรนไชส์ รองลงมาคือ Fast & Furious 7 (2015) และ Hobbs & Shaw (2019) มีความยาวที่ 137 นาทีเท่ากัน

8.รถหุ้มเกราะคันยักษ์ในฉากไคลแมกซ์นั้นมีชื่อว่า ‘The Armadillo’ มีความสูง 4.2 เมตร หนัก 26 ตัน ใช้เวลาในการสร้างถึง 4 เดือน อเล็กซ์ คิง (Alex King) ผู้ควบคุมดูแลยานพาหนะในหนัง บอกว่าเจ้า The Armadillo หรือชื่อที่ผมชอบเรียกมันว่า The Mother Trucker จัดว่าเป็นยานพาหนะในหนังคันใหญ่ที่สุดแล้วที่ผมเคยเห็น และใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยสร้างมา”

9.นาทีที่ 43 ตอนที่ดอมในวัยเด็กกำลังจะแข่งรถกับเจคอบ ให้สังเกตดี ๆ ฉากนี้เราจะเห็น เล็ตตี้, มิอา, วินซ์ และ เจสซี บรรดาตัวละครดั้งเดิมจาก The Fast and the Furious (2001) ในวัยหนุ่มสาวปรากฏตัวอยู่ด้วย

10.นาทีที่ 54 เคยมีฉากที่แสดงให้เห็นรถของฌอน บทของ ลูคัส แบล็ก ที่พังยับไปแล้วในภาค 3 Tokyo Drift แต่มาโผล่อยู่ในโรงรถในโตเกียว ซึ่งแบล็กให้ความเห็นว่า “มันเป็นงานใหญ่” ที่จะต้องขนส่งชิ้นส่วนรถเกือบทั้งคันมายังลอนดอนเพื่อถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มาประกอบใหม่ ทำสี แต่สุดท้ายแล้ว จัสติน ลิน ก็ตัดสินใจตัดฉากนี้ทิ้งไปอีก

11.จัสติน ลิน เข้ามากำกับ Fast ครั้งแรกในภาค 3 ‘Tokyo Drift’ ลินย้อนเล่าว่าเขาได้ติดต่อไปยัง วิน ดีเซล ขอร้องให้โผล่เป็นนักแสดงรับเชิญในตอนจบของภาคนี้
“ผมได้ยินมาว่าเขาประกาศตัวชัดเจนว่าจะไม่กลับมายุ่งเกี่ยวกับแฟรนไชส์นี้อีกแล้ว”
แต่ลินก็สามารถโน้มน้าวดีเซลได้สำเร็จ กลายเป็นว่า ดีเซลรู้สึกสำนึกบุญคุณลินอย่างมากที่ดึงให้เขากลับมาในแฟรนไชส์ที่กลายเป็นเครื่องจักรพิมพ์เงินให้กับเขาในทุกวันนี้

Dodge Charger รุ่นปี 1968

12.ใน F9 นี้เป็นครั้งที่ 3 ที่เราได้เห็นดอมขับรถ Dodge Charger รุ่นปี 1968 เขาขับ “Dodge Charger ‘Maximus'” ในฉากจบของ Furious 7 (2015) และครั้งต่อมาใน The Fate of the Furious (2017) เป็นรุ่นที่ผ่านการโมดิไฟมาอย่างหนักหน่วงบนฉากไล่ล่าบนทะเลน้ำแข็ง และใน F9 นี้เขาขับ Dodge Charger’Hellacious’

13.ฉากเปิดเรื่องในประเทศสมมติ Montequinto เป็นฉากแอ็กชันไล่ล่า ในเรื่องเกริ่นว่าประเทศนี้อยู่ในทวีปอเมริกากลาง หรืออเมริกาใต้ทางตอนเหนือ แต่ในฉากนี้เราจะเห็นถนนที่มีหน้าผาสูงขนาบสองข้างทาง ซึ่งภูมิประเทศแบบนี้ไม่มีในส่วนใดของทวีปอเมริกา ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ เพราะฉากนี้ถ่ายทำกันในประเทศไทย

14.ตามแผนการเดิม ภาคนี้จะเป็นการทวงแค้นให้กับฮาน #JusticeForHan นั่นคือจะปล่อยให้ฮานยังคงตายต่อไป แต่เขาจะปรากฏตัวในฉากย้อนอดีตเท่านั้น แต่สุดท้ายก็เป็นไอเดียของ จัสติน ลิน เอง ที่เปลี่ยนใจแล้วดึงฮานให้กลับมา

15.ในฉากจบเรื่อง มีการเอ่ยว่า ไบรอัน โอ’คอนเนอร์ มาร่วมปาร์ตี้บาร์บีคิวด้วย ฉากนี้ไม่เห็นตัวไบรอัน แต่เราได้เห็นรถ Nissan Skyline สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรถที่ไบรอันขับในภาค 4 Fast and Furious (2009) ซึ่งตัว พอล วอล์กเกอร์ เอง ก็โปรดปรานรถคันนี้ เขาเป็นเจ้าของ Nissan Skyline R34 มูลค่า 1.37 ล้านหรียญ

16.ใน F9 นี้เราได้เห็นภาพ พ่อของดอมประสบอุบัติเหตุระหว่างแข่งรถกับ เคนนี่ ลินเดอร์ ซึ่งดอมเคยเอ่ยถึงอุบัติเหตุครั้งนี้มาแล้วในหนังภาคแรก The Fast & the Furious (2001) ในครั้งนั้น ดอมเล่าว่า หลังเกิดอุบัติเหตุ ลินเดอร์ก็ออกจากวงการแข่งรถ แล้วไปทำงานเป็นภารโรง

17.เจสัน สตาแธม โผล่มาในบทรับเชิญโดยที่ไม่ได้รับเครดิต นับเป็นการปรากฏตัวในบท เด็กคาร์ด ชอว์ เป็นครั้งที่ 5 และเป็นครั้งที่ 2 ที่ไม่ได้เครดิต ครั้งแรกคือฉากจบใน Fast and Furious 6 (2013) ที่เป็นฉากที่สร้างขึ้นด้วย CG เพราะเป็นฉากการตายของฮานจากหนัง Tokyo Drift แล้วต้องเพิ่มตัวชอว์ลงไปในฉากนี้ ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลัง แล้วก็นับว่าเป็นครั้งที่ 2 ที่ เจสัน สตาแธม และ ซุง คัง ปรากฏตัวในฉากจบด้วยกัน

18.ในฉากที่เทจและโรมันออกไปยังอวกาศนั้น ทางทีมงานได้ขอคำปรึกษากับหน่วยงานนาซา พอทางนาซาได้ฟังแล้ว ต่างก็คิดว่าทีมงาน F9 นี่บ้ากันไปแล้ว แต่ จัสติน ลิน ก็ยืนกรานว่าเขาต้องการจะถ่ายทำฉากนี้ให้ออกมาตรงตามหลักความเป็นจริงให้ได้มากที่สุด ทางนาซาจึงยอมรับฟังและให้คำแนะนำเป็นอย่างดี

19.ฉากออกไปนอกโลกนี้ เริ่มมาจาก ไทรีส กิบสัน ผู้รับบทโรมัน พูดติดตลกว่า ‘เหลือที่เดียวที่พวกเราไม่เคยไปก็คือออกไปนอกโลก’ พอ จัสติน ลิน ได้ยินดังนั้นก็เลยตัดสินใจ เพิ่มฉากออกไปนอกโลกเข้ามาใน F9 ถึงแม้ในช่วงแรก ลินเองก็ยังลังเลว่าเขาจะทำฉากนี้ได้สำเร็จไหม แต่สุดท้ายก็อย่างที่เราเห็นกัน ซึ่งลินบอกว่าฉากนี้ออกมาได้เหมือนอย่างที่เขาเคยจินตนาการไว้

20.จัสติน ลิน เป็นคนที่ดึง เจสัน สตาแธม เข้ามาร่วมแสดงในแฟรนไชส์ Fast ตั้งแต่ Fast and Furious 6 แต่พอสตาแธมได้ยินว่าลินจะไม่กำกับ Fast X แล้ว สตาแธมก็บอกว่า งั้นเขาก็ไม่ขอกลับมาร่วมในแฟรนไชส์ด้วยแล้ว แต่ลินก็โน้มน้าวสตาแธมได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้เราได้เห็นสตาแธมในฉากหลังเอนด์เครดิต เพื่อยืนยันว่าเขาจะกลับมาใน Fast X ด้วย

ที่มา : IMDB Wikipedia