อีกหนึ่งหนังชีวประวัตินักมวยสู้ชีวิต ที่รอบนี้หยิบเรื่องราวของ วินนี่ เพซีเอนซ่า นักมวยอเมริกันจากโรดส์ ไอส์แลนด์ โดยหยิบเอาเรื่องราวในช่วงสั้น ๆ ที่เขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์รุนแรงจนกระดูกต้นคอหัก ถึงขนาดที่หมอบอกว่าเขาจะไม่สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง และเป็นการพิสูจน์ฝีมือการแสดงอีกครั้งของไมลส์ เทลเลอร์ หลังจากเคยสร้างเสียงชื่นชมมาแล้วจากบทมือกลองใน Whiplash (2014) ก่อนที่จะไปคว่ำใน Fantastic Four (2015) ก็ถือว่าเป็นดารารุ่นใหม่ที่วางตัวได้ดี เลือกเล่นหนังทั้งสายรางวัลและหนังเอาใจตลาดสลับไปมา  แบบนี้อยู่ได้นานครับ

miles-teller-body-transformation

ไมลส์ ก่อนและหลังฟิตหุ่นเพื่อมารับบท วินนี่ เพซีเอนซา

Bleed For This เป็นผลงานของผู้กำกับและเขียนบท เบน ยังเกอร์ ที่ทำแต่หนังเล็ก และไม่มีผลงานบ่อยนัก เรื่องก่อนหน้าก็ prime (2005) ที่เว้นช่วงห่างไปถึง 11 ปีเลย มารอบนี้ก็ยังคงทำหนังคอนเซ็ปต์ทำหนังทุนต่ำเนื้อหาหนัก ๆ แต่ก็ได้ดารามีชื่อที่เชื่อฝีมือผู้กำกับมาร่วมงานเช่นเคย แถมยังได้มาร์ติน สกอร์เซซี มานั่งเก้าอี้อำนวยการสร้างให้ด้วย หนังใช้ทุนสร้างไปแค่ 6 ล้านเหรียญ ถ่ายทำกันแค่ 24 วันจบ แต่ก็ได้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ค่อนไปทางบวก

หนังเริ่มจับเหตุการณ์ช่วงสำคัญในชีวิตของ วินนี่ จากปี 1988 เป็นยุคขาลงในเส้นทางค้าหมัดของวินนี่ เขาแพ้ติดต่อกัน 3 ไฟต์ จนผู้จัดการให้สัมภาษณ์ว่าวินนี่สมควรจะแขวนนวมได้แล้ว แต่วินนี่ ไม่ยอมแพ้ เขาไปฝึกกับ เควิน รูนีย์ เทรนเนอร์ชื่อดังที่เคยฝึกให้ไมค์ ไทสัน มาแล้ว เควิน จับวินนี่ เพิ่มน้ำหนักขึ้นไปอีก 2 รุ่น เป็นข้อกังขาสายตาคนทั้งวงการว่า วินนี่ ไปไม่รอดหรอก แต่แล้ววินนี่ก็สร้างปาฎิหารย์ให้ทุกคนประจักษ์ว่าเขาทำได้ ขณะที่ชีวิตกลับมารุ่งโรจน์ โชคชะตาก็ถีบส่งเขาอีกครั้ง  วินนี่ประสบอุบัติเหตุคอหักจนต้องใส่เหล็กดามศีรษะถึง 6 เดือน ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นหัวใจหลักของหนัง  เป็นจุดสร้างแรงบันดาลใจให้คนดูเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพลังใจ ความเป็นคนใจสู้ของวินนี่ที่เอาชนะโชคชะตาให้ทุกคนเห็นได้  ภายใน 6 เดือนเขากลับมาชกไฟต์สำคัญกับนักมวยระดับตำนาน โรเบอร์โต ดูแรน ซึ่งเป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง แนะนำว่าอย่าหาข้อมูลอ่านก่อนดูว่าใครชนะในไฟต์นี้ จะได้ลุ้นไปกับหนัง แต่บทหนังก็ดัดแปลงรวบรัดจากความเป็นจริงไปมากเพราะเรื่องจริงหลังจากวินนี่ กลับมาชกนั้น เขาชกไปแล้ว 5 ไฟต์ แล้วก็เพิ่มน้ำหนักมาชกซูเปอร์มิดเดิลเวท กว่าจะมาเจอ ดูแรน ก็เป็นไฟต์ที่ 7 แล้วในช่วงเวลา 3 ปีให้หลังอุบัติเหตุ

bleed-for-this

ถึงแม้ว่าหน้าหนังจะเป็นหนังชกมวย แต่เอาเข้าจริง ๆ โทนหนังกลับออกเป็นดราม่า โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องที่วินนี่ต้องพักรักษาตัวกันยาว ๆ นี่ค่อนข้างลากกันเอื่อยเลย หนังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฟิตซ้อมฟื้นฟูสมรรถภาพของวินนี่ และบรรดาญาติพี่น้องในครอบครัวมากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทกับเรื่องราวหนังมากนัก และเรื่องราวสังคมวงการมวยที่รายล้อมไปด้วยคนเจตนาดีและคนที่หวังผลประโยชน์จากตัวเขา ไม่มีเรื่องราวด้านโรแมนซ์มีแต่สาว ๆ ของวินนี่ที่ผ่านมาผ่านไป ก็เลยกลายเป็นหนังที่ไม่มีดารานำฝ่ายหญิง ตัวสวย ๆ ที่เด่นบนใบปิดนั่นก็มีบทอยู่ไม่กี่นาทีเอง ใครที่คาดหวังว่าจะได้ดูฉากชกมันส์ ๆ น่าจะผิดหวังนะครับทั้งเรื่องมีฉากชกให้ดูแค่ 3 ไฟต์ และแต่ละไฟต์ก็ใช้เวลาไม่นาน บอกเลยนะครับ ไม่มีฉากซัดกันตุ้บตั้บยาว ๆ ซัดกันจะ ๆ สโลว์เหงื่อกระจายให้ได้ลุ้นแบบหนังนักมวยเรื่องอื่น ๆ พอถึงฉากชกกล้องก็มักตัดสลับไปหน้าพ่อหน้าแม่กับกองเชียร์แทน

miles-story_647_070416020716

ซ้าย วินนี่ เพซีเอนซา ตัวจริง / ขวา ไมลส์ เทลเลอร์

บทวินนี่ ของไมลส์ ถือว่าเป็นบทที่ท้าทายอาชีพการแสดงของเขาอย่างมากแม้ว่าเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดูไม่มีความละม้ายกับ วินนี่ ตัวจริงเลยแม้เพียงนิด แต่ในด้านความตั้งใจ  ไมลส์สมควรได้รับเสียงชื่นชมแน่นอน แม้บทวินนี่ยังไม่เด่นถึงขั้นได้เข้าชิงบทเวทีใหญ่ ๆ ดาราฮอลลีวู้ดหลาย ๆ คนเคยแปลงภาพลักษณ์ให้เราเห็นกันมาแล้ว ไมลส์ก็เป็นดาราฮอลลีวู้ดอีกคนที่สมควรได้รับคำชื่นชมในความตั้งใจทุ่มเท เขาเปลี่ยนจากร่างสะโอดสะอง ไมลส์ ฟิตตัวเองจนล่ำดูแล้วเชื่อได้ว่านี่คือนักมวยจริง ไมลส์ ยังไปฝึกซ้อมกับดาเรลล์ ฟอสเตอร์ ครูฝึกตัวจริงของซูการ์เรย์ เลียวนาร์ด และเป็นคนที่เทรนวิล สมิธ ตอนที่รับบท โมฮัมหมัด อาลี ด้วย

อีกคนคืออารอน เอ็คฮาร์ต เพิ่งเป็นพระเอกใน I’ Frankenstein มาไม่นาน เรื่องนี้อารอน รับบท เควิน รูนีย์ เขาต้องทำน้ำหนักเพิ่ม 18 กิโลกรัม และโกนผมให้กลายเป็นคนหัวเถิกอีก ถ้าสังเกตย้อนหลังไป อารอน เป็นนักแสดงที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองไปแทบทุกเรื่องเลย

aaron

อารอน เอ็คฮาร์ต กับหลากหลายภาพลัษณ์ในหนังแต่ละเรื่อง

ที่ผิดแผกไปจากหนังชีวประวัติทั่วไปคือฉากจบไม่มีตัวหนังสือบรรยายเหตุการณ์ความเป็นไปของตัวละครหลัก แต่มีภาพตัวจริงของวินนี่ ให้ได้เห็น เป็นภาพฟุตเตจจริงเหตุการณ์สำคัญบางตอนก็อยู่ในหนังด้วย แต่ดูจบผมก็เลยไปค้นเรื่องราวของวินนี่อ่านต่อ ที่พอเล่าต่อได้ก็คือหลังไฟต์สำคัญกับดูแรนในปี 1994 ทั้งคู่ก็มีนัดแก้มือกันอีกรอบในปี 1995 วินนี่ยังคงชกอาชีพไปเรื่อยจนลาวงการในปี 2004 ที่วัย 42 ปี รวมการชกทั้งหมด 60 ไฟต์ ชนะ 50 ครั้ง เป็นชนะน็อค 30 ครั้ง และ แพ้เพียง 10 ครั้ง สรุปได้ว่า Bleed For This เป็นหนังดราม่าที่แฝงเจตนาดี สร้างกำลังใจ ให้วินนี่ ทำหน้าที่ตัวแทนคนสู้ชีวิตที่เอาชนะโชคชะตาตัวเองได้สำเร็จคนหนึ่ง พอดูได้เพลิน ๆ ครับ

Play video