หนังที่เพิ่งเจ๊งเละเทะในอเมริกา ทุนสร้าง 13 ล้านเหรียญ ได้ตังค์แค่ 3 ล้านเหรียญ ด้วยเหตุที่หนังแนวดราม่าการเมืองไม่ใช่แนวที่ถูกใจตลาดวงกว้างนัก แม้หนังจะได้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ในทางบวกมากก็ตาม เห็นวี่แววหนังมาแบบนี้ ก่อนดูก็เลยเตรียมใจไว้พอควร นอนให้พอเพื่อมาสู้กับหนังที่น่าจะอืด ๆ กว่า 2 ชั่วโมง แต่แล้วก็ผิดคาด Miss Sloane กลายเป็นหนังที่สนุกมาก แม้จะเป็นหนังที่เดินหน้าด้วยบทสนทนาแต่ก็มีวิกฤตการณ์หยอดมาในเรื่องให้ได้ลุ้นไปตลอด

เป็นหนังอีกเรื่องที่ตั้งใจขายชื่อ เจสซิกา แชสเทน ทั้งชื่อเธอที่แปะหัวหนัง และตัวเธอยืนเด่นเป็นสง่าบนโปสเตอร์คนเดียวเลย และบทมิส สโลน ก็ลอยเด่นอยู่คนเดียวด้วยสมกับที่ใช้บทของเธอเป็นชื่อหนัง , อลิซาเบ็ธ สโลน เป็นสาวนักล็อบบี้ที่ชื่อเสียงโด่งดัง เป็นจุดขายของบริษัทจนมีลูกค้าใหญ่ ๆ แห่แหนกันมาที่บริษัทนี้เพื่อใช้บริการเธอ จนวันหนึ่งลูกค้ารายใหญ่เป็นประธานกลุ่มผู้สนับสนุนธุรกิจปืนก็มาเจาะจงให้สโลน ทำหน้าที่ล็อบบี้นักการเมืองให้ลงคะแนนต่อต้าน พรบ.ควบคุมอาวุธปืนที่กำลังเข้าสภา สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือ สโลน ปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าขัดกับจุดยืนของเธอ สโลนลาออกพร้อมกับลูกน้องที่สวามิภักดิ์เธออีก 5 คนไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามที่แม้เป็นบริษัทที่เล็กกว่ามาก ไม่มีแม้แต่เงินทุน

และนี่แหละที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสนุก เมื่อสโลนอยู่ในฝั่งที่ด้อยกว่าทุกอย่างทั้งชื่อเสียงบริษัท ประสบการณ์ของลูกทีม และเป้าหมายที่ยากกว่า เพราะการจะดัน พรบ.ควบคุมอาวุธปืนให้ผ่านต้องได้เสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกถึง 60 คน ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านต้องการเพียงแค่ 40 คน เราได้สนุกไปกับความอัจฉริยะของสโลน ที่มักมีแผนการที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า เพราะเธอคิดคนเดียวสั่งการคนเดียวอย่างค่อนข้างเผด็จการ และมักมีแผนสองแผนสามรอรับไว้อยู่เสมอ ลูกน้องแต่ละคนเปรียบเสมือนหมากที่เธอวางไว้เท่านั้น ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่กระจอกเพราะมีทั้งนายและลูกน้องเก่าที่ทำงานร่วมกับเธอมานับ 10 ปี ทำให้รู้สไตล์การทำงานของเธอ รวมถึงมีข้อมูลเก่าที่ค้นมาเล่นงานเธอได้ และคู่ปรับตัวฉกาจก็คือ เจน อดีตมือขวาของสโลนมาตลอด 3 ปี แต่ไม่ลาออกตามเธอ เพราะมองเห็นโอกาสรุ่งโรจน์ในที่เดิมมากกว่าเมื่อไร้สโลน และเจนก็เป็นคู่ปรับที่มีไม้เด็ดมาต่อกรกับสโลนได้เจ็บแสบ สามารถส่งสโลนเข้าสู่ศาลได้ หนังใช้ฉากที่สโลนโดนไต่สวนในศาลเป็นฉากเปิดเรื่องและค่อยย้อนไปเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นถึง 3 เดือนไล่มาบรรจบเหตุการณ์ในศาลเอาตอนท้ายเรื่อง ซึ่งพาไปสู่ฉากไคลแมกซ์ที่เป็นการต่อปากต่อคำระหว่างสโลนกับวุฒิสมาชิก สปอร์ลิง ที่ได้จอห์น ลิตกาว ดารารุ่นเก๋าดีกรีเข้าชิง 1 ออสการ์มารับบท และนับเป็นไคลแมกซ์ที่ดุดเด็ดเผ็ดมันส์ เมื่อสโลนมีไม้เด็ดอีกแล้วมาเป็นเซอร์ไพรส์ปิดท้ายได้ชวนร้องโห่ฮิ้ว

ดูจบก็ต้องจำชื่อโจนาธาน เพเรรา ไว้อีกคน มือเขียนบทนิรนามที่ไม่เคยมีผลงานในฮอลลีวู้ดมาก่อนเลย บทเรื่องนี้ก็ถูกทิ้งค้างรอสร้างไว้เกือบปี ถูกจัดไว้ในกลุ่มบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ยังไม่เคยถูกสร้าง จนกระทั่งบทไปเข้าตา จอน แม็ดเด็น ผู้กำกับฝีมือดีที่เคยทำ Shakespeare in Love (1998) คว้า 7 ออสการ์มาแล้ว พอได้จอน มากำกับ ก็เลยได้ดาราฝีมือดีที่เชื่อมือจอน ตามมาเพียบทั้งมาร์ค สตรอง , แซม วอเตอร์สัน , ไมเคิล สตุลบาร์ก และรวมถึง เจสซิก้า แชสเทน ด้วย ภาพลักษณ์สโลน ดูไม่ได้ผิดแผกไปจากบทที่ผ่าน ๆ มาของเจสซิก้าเท่าใดนักเพราะเธอมักได้รบบทหญิงแกร่งมั่นใจตัวเองสูงแบบนี้มาโดยตลอด จึงมองไม่เห็นว่าเป็นการพลิกบทบาทที่น่าจดจำนัก ทำให้เธอได้เข้าชิงนำหญิงลูกโลกทองคำเพียงเวทีเดียวในเรื่องนี้จะไม่มีการปูที่มาของสโลน ว่าเป็นใครมาจากไหนแต่จะค่อย ๆ ให้คนดูได้รู้จักความเป็นปัจเจกมนุษย์ของสโลนจากกิจวัตรของเธอเอง สโลนไม่มีเพื่อน ทั้งชีวิตทุ่มเทให้กับงาน หัวสมองทำงานตลอดเวลาจนนอนไม่หลับ แม้กระทั่งอาหารก็ยังไม่คิดกินแต่ร้านเดิม ๆ การพักผ่อนอย่างเดียวในชีวิตคือการซื้อบริการทางเพศผ่านเอเยนต์

นับเป็นหนังดราม่าการเมืองน้อยเรื่องที่เล่าเรื่องได้สนุกน่าติดตาม ผิดแผกจากหนังในกลุ่มเดียวกันที่ชวนง่วงเสียส่วนใหญ่ เพราะตลอดเรื่องเราได้สนุกไปกับแผนการของสโลนที่งัดออกมาใช้แบบไม่จบสิ้นและไม่มีใครล่วงรู้หรือตามทัน แต่ละแผนการที่เธอหยิบมาใช้จึงทำให้ทั้งเพื่อนร่วมงานและคนดูประหลาดใจได้อยู่เสมอ และจุดนี้ก็ถูกยกมาเป็นสาระประเด็นในช่วงท้าย ด้วยความกระหายชัยชนะจนไม่สนใจวิธีการว่าจะถูกกฎหมายหรือไม่ ไม่แคร์มารยาทและจิตใจเพื่อนร่วมงานถึงแม้แผนการของเธอจะสำเร็จแต่มันก็ก่อเกิดเป็นคำถามที่เปรยขึ้นมาว่า “ฉันไม่รู้ว่าเส้นความพอดีมันอยู่ตรงไหน” แล้วสุดท้ายมันก็ต่อเนื่องให้เธอต้องหวนคิดว่าทั้งหมดนี้คือเป้าหมายชีวิตของเธอแล้วจริง ๆ หรือ คำตอบก็อยู่ในบทลงเอยของหนังนั่นแหละ ที่เธอทำเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดในใจที่เธอก่อขึ้นมา

หนังน่าจะถูกใจผู้ชมกลุ่มผู้ใหญ่ที่ชอบหนังคอร์ตรูมดราม่า ตัวเอกเป็นม้ารองบ่อนแล้วพลิกเกมมาชนะยักษ์ใหญ่แบบ The Client (1994) , Civil Action (1998) , Erin Brockovich (2000)  ได้เห็นตัวละครขับเคี่ยวกันด้วยมันสมอง แต่ละฝ่ายต่างงัดกลยุทธ์มาซัดใส่กัน ผลัดกันได้เปรียบเสียบเปรียบตลอดเวลา ก็เรื่องนี้แหละครับ ไม่ควรพลาดครับ

Play video