ในปีนี้หนังแฟรนไชส์รถแข่งผสมอาชญากรรมอย่าง The Fast and the Furious จะมีอายุครบ 19 ปี และเกือบได้ฉลองด้วยการฉายหนังภาคที่ 9 พร้อมกับการตั้งชื่อจักรวาลของตัวเองเป็น The Fast Saga ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ก่อนที่จะถูกโยกฉายหนี Covid-19 ยาวไปถึงเดือนเมษายนปีหน้า นี่คือภาพยนตร์ชุดที่มีแฟน ๆ รักและให้การรอคอยมากที่สุด วัดจากความนิยมที่ไม่เคยเสื่อมลงเลยตลอด 19 ปี (ที่อาจจะมีเป๋ ๆ และเกือบไม่รอดไปในภาค 2-3) แต่ภาพยนตร์ชุดนี้ก็เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้สร้างจากคอมิกซูเปอร์ฮีโร และจากหนังสือที่ถูกนำมาดัดแปลง ที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกจนถึงตอนนี้

What the Fact ได้นำเสนอเรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ The Fast and The Furious ตั้งแต่หนังเริ่มสร้างภาคแรกจวบจนภาค 9 ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า ตอนแรกไปแล้ว (อ่านได้ที่นี่) วันนี้จะขอนำเสนอในตอนที่ 2 ที่จะว่ากันถึงเรื่องราวความเป็นมาและเบื้องหลังหนังตั้งแต่ ภาค 5 จนถึงภาค 9 (สามารถหาดูภาค 4, 6 และ 7 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix)

ยกระดับจากหนังแข่งรถเป็นหนังจารกรรมโคตรมันใน Fast Five

หลังจากความสำเร็จในภาค 4 ก็เดินหน้าต่อในภาค 5 จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดนาน โดยในภาคนี้ค่ายหนังได้อนุมัติสร้างทั้งภาค 5 และภาค 6 ต่อเนื่องกันไปยาว ๆ Vin Diesel นำมุกการรวมตัวละครจากภาคเก่า ๆ ในภาค 4 มาขยายความต่ออย่างกับรู้ว่าจะเรียกคนดูได้ บวกกับการใส่กิมมิก “รักกันเป็นครอบครัว” ให้กับแก๊งนักแข่งนี้เติมเข้าไปด้วย Tyrese Gibson และ Ludacris จากภาค 2 Tego Calderon และ Don Omar จากภาค 4 รวมถึง Sung Kang และ Gal Gadot ก็ยังได้รับบทต่อเนื่องมาด้วย Universal ตัดสินใจชัดเจนว่าจะให้หนังจักรวาลนี้กลายเป็นหนังปล้น (Heist Films) เหมือนหนังดังในอดีตอย่าง The Italian Job (1969) และ The French Connection (1971)

Fast Five (2011)

Fast Five (2011)

หนังได้ทุนสร้างมากขึ้นกว่าเดิมเป็น 125 ล้านเหรียญฯ ทำให้หนังได้ไปถ่ายทำในโลเคชันที่แปลกใหม่มากขึ้นทั้งเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล และเปอร์โตริโก รวมถึงฉากปล้นตู้เซฟไซส์ยักษ์ในภาคนี้ เดิมที่คนเขียนบทอยากจะใส่ไว้ในภาค 4 แต่งบไม่พอและดูไม่เหมาะกับเนื้อเรื่องเลยไม่ได้ใส่ไว้และนำมาไว้ในภาค 5 แทน หนังภาคนี้เริ่มทำกำไรได้อย่างจริงจังโดยทำรายได้รวมทั่วโลกไป 626 ล้านเหรียญฯ จากแผนการตลาดที่แข็งแรงชนิดปูพรมของค่ายที่ขายหนังออกไปทั้ง Social Media, VDO Game, บริษัทผลิตรถยนต์ และการแข่งขันรถ NASCAR บวกกับหนังเริ่มเป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์ ก็ทำให้หนังประสบความสำเร็จ

เกร็ดเบื้องหลัง ภาค 5

Fast Five (2011)

Fast Five (2011)

Tommy Lee Jones ใน Men in Black 3 (2012)

Tommy Lee Jones ใน Men in Black 3 (2012)

  • บท “ลุค ฮ็อบส์” ของ Dwayne Johnson นั้น เคยมีการคิดกันว่าจะให้ Tommy Lee Jones (ซึ่งอายุต่างจาก Johnson มาก) มารับบทนี้ แต่ Diesel เกิดเปลี่ยนใจเมื่อมีแฟนหนังที่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่อยากเห็น Diesel กับ Johnson ปรากฎบนจอหนัง
  • ในฉากต่อสู้กับระหว่าง Diesel และ Johnson ช่วงท้ายเรื่องที่กลายเป็นฉากไคลแมกซ์ แม้ดูจะเป็นฉากต่อสู้ธรรมดา แต่ Lin บอกว่า พวกเขาใช้เวลาในการนั่งคุยเพื่อออกแบบฉากนั้นร่วมกันระหว่างนักแสดงและทีมสตันท์ถึง 5 ชั่วโมง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ “ข้อศอก” ของ Diesel
  • เป็นภาคแรกที่ผู้กำกับ Lin หันกลับมาทำหนังแบบพึ่ง CGI ในฉากแอ็กชันและฉากรถแข่งให้น้อยที่สุด  เน้นฉากการถ่ายทำจริงเกือบทั้งหมดเช่น ฉากปล้นขบวนรถไฟ รถบรรทุกเข้าชนกับขบวนรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่จริง ๆ
  • เป็นหนัง Fast เรื่องแรกที่มีความยาวเกิน 2 ชั่วโมง และเป็นหนังภาคแรกที่ไม่ได้ใช้ชื่อ Furious เลยในชื่อเรื่อง รวมถึงเป็น Fast ภาคแรกที่ฉายบน IMAX
  • Annapolis (2006) เป็นหนังของผู้กำกับ Justin Lin ที่เคยกำกับนักแสดง Jordana Brewster และ Tyrese Gibson มาแล้ว
Annapolis (2006)

Annapolis (2006)

  • Fred Raskin มือตัดต่อของหนังบอกว่า หลังจากตัดต่อหนังเรื่องนี้เสร็จ Quentin Tarantino เกิดชอบผลงานตั้งแต่ภาค 3 ของเขาจนจ้างไปตัดต่อ Django Unchained (2012) เขาบอกว่า Tarantino โทรหาเขาหลังจากดูหนังภาค 4 จบเพื่อจะถามว่าไทม์ไลน์ของ 2 ภาคนี้อะไรเกิดก่อนหลัง จนกระทั่งเขาได้ดูภาค 5 จบก็ตัดสินใจเลือก Raskin ไปกำกับในที่สุด

จุดเริ่มต้นของการ “ตายไม่จริง” ในจักรวาลนี้ จากเล็ตตี้ใน  Fast & Furious 6

จักวาล Fast and Furious หลังจากภาคนี้เป็นต้นไป กลายเป็นหนังที่ขึ้นชื่อว่าตัวละคร “ตายไม่จริง” และกลับมามีบทบาทในเส้นเรื่องอีกครั้ง ชนิดที่แฟน ๆ หลายคนเรียกว่าแถกลับเข้ามาจนได้ก็ไม่ผิดนัก เริ่มจากเล็ตตี้ที่นึกว่าตายไปแล้วในภาค 4 แล้วก็กลับมาในภาค 6 (รวมไปถึง “ฮาน” ที่ในตัวอย่างภาค 9 เขาก็กลับมามีบทบาทอีกจนแฟน ๆ ต้องอดใจรอไปอีกหนึ่งปีนับจากนี้) “มันเป็นส่วนหนึ่งของแผน นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเราไม่ให้เห็นฉากศพของเล็ตตี้เลย” Chris Morgan คนเขียนบทเผย ยิ่งขยายความว่าภาพที่เห็นเธอตายนั้นเป็นแค่ภาพในหัวของดอมที่คิดไปเอง ในภาคนี้ทุนสร้างขยับจาก 125 ล้านเหรียญฯ ในภาคก่อนเป็น 160 ล้านเหรียญฯ แต่ก็ทำรายได้ไปด้วยดีกับ 789 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก

Play video

ทางด้านคำวิจารณ์ก็ดูจะไปได้สวย เหมือนนักวิจารณ์ส่วนใหญ่จะยอมรับกับการเปลี่ยนทิศทางของหนังมาเป็นหนังอาชญกรรมที่มาพร้อมกับฉากเวอร์ ๆ อย่างไม่ขัดใจเหมือนภาคก่อน ๆ ทั้งฉาก Flip Car รถจอมเสยของตัวร้าย “โอเว่น ชอว์” ของนักแสดง Luke Evans ที่ใช้รถถังบี้รถจริงไปถึง 250 คัน รวมไปถึงการได้ดารานักบู๊ที่เป็นมือโปรในด้านการต่อสู้จริง ๆ อย่าง Gina Carano (ซีรีส์ The Mandalorian) และ Joe Taslim (The Raid: Redemption) มาร่วมแสดงด้วย

Gena Carano นักแสดงสาวนักบู๊ ที่คุ้นหน้าจากซีรีส์ The Mandalorian

Gena Carano นักแสดงสาวนักบู๊ ที่คุ้นหน้าจากซีรีส์ The Mandalorian

Joe Taslim นักแสดงนักบู๊เอเชีย

Joe Taslim นักแสดงนักบู๊เอเชีย

เกร็ดเบื้องหลัง ภาค 6

Elsa Pataky ภรรยาในชีวิตจริงของพ่อหมี Chris Hemsworth

Elsa Pataky ผู้รับบทตำรวจ Elena ภรรยาในชีวิตจริงของพ่อหมี Chris Hemsworth

  • Elsa Pataky ผู้รับบทตำรวจ Elena ลูกน้องของฮ็อบส์และมีความสัมพันธ์กับดอมนั้น ในชีวิตจริงเธอคือภรรยาของนักแสดงหนุ่ม Chris Hemsworth ผู้รับบทเทพเจ้าสายฟ้าธอร์
  • เดิมทีมีการวางแผนว่าจะถ่ายทำหนังภาค 6 โดยแบ่งเป็น 2 พาร์ต (ประมาณว่า Fast 6.1 และ Fast 6.2) ที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน โดยพาร์ตแรกหนังจะจบลงที่ฉากรถถัง และพาร์ตสองจะจบลงที่ฉากเครื่องบิน
  • ในการการขับรถไล่ล่าในเมืองลอนดอนนั้น เหมือนในภาคอื่น ๆ ที่หนังมักจะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำกลางเมืองใหญ่ ทีมงานจึงถ่ายทำกันที่บริเวณใกล้กับสนามกีฬาเวมบลีย์ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลอนดอนแทน และใช้เทคนิคการตัดต่อให้ดูเหมือนว่าเหตุเกิดแถวกลางเมือง
  • Mark Bomback มือเขียนบทมากฝีมือจากหนัง War of the Planet of the Apes (2017), The Wolverine (2013) และ Live Free or Die Hard (2007) มาช่วยเกลาบทฉบับสุดท้ายให้แบบไม่ได้เครดิต
  • ฉากที่เทจ ตัวละครของ Ludacris แซวฮอบส์ ในฉากงานประมูลรถว่า “แหม่ ท่องตามโบรชัวร์มาเป๊ะ” ตอนพูดถึงความรู้เรื่องเสปกเครื่องของรถ เป็นฉากที่ล้อเหตุการณ์คล้ายกันในภาค Tokyo Drift ซึ่งพูดขึ้นมาโดย “ฌอน บอสเวลล์” ตัวละครของ Lucas Black
  • 1327 เลขที่ดอมบอกกับฮอบส์ตอนท้ายเรื่องของภาคนี้ คือเลขที่บ้านของดอมในหนังภาคแรก
  • Paul Walker เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 ไม่กี่เดือนหลังหนังภาค 6 เข้าฉายและอยู่ระหว่างการทำหนังภาค 7

Furious 7 ภาคที่ยิ่งใหญ่และสะเทือนใจที่ต้องเอ่ยคำลา

เป็นภาคที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้าน แต่ก็กลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ร่วมกันของนักแสดง ทีมงาน และผู้ชม หนังได้รับการอนุมัติสร้างหลังจากภาค 5 ทำรายได้ดีตามคาด โดยจะถ่ายภาค 6 และ 7 อย่างต่อเนื่องกัน แต่นักแสดงและทีมงานหลายคนก็เริ่มบ่นว่าไม่ไหว ไล่มาตั้งแต่ Dwayne Johnson ที่คิวงานเรื่องอื่นมาจ่อรออยู่แล้ว (จึงทำให้เขามาเล่นได้แค่ในช่วงต้นเรื่องก่อนที่ตัวละครฮ็อบส์จะบาดเจ็บ และกลับมาอีกทีในตอนท้ายเรื่อง) คนต่อมาคือผู้กำกับ Lin ที่ไม่สามารถทำ Post-Production ในขั้นตอนตัดต่อหนังภาค 6 ไปพร้อมกับเตรียมถ่ายหนังภาค 7 ได้ แต่ค่าย Universal ก็ขอไม่รอเพราะไม่มีหนังแฟรนไชส์ทำเงินอยู้ในมือเลยในปีนั้น

ผู้กำกับ James Wan ในกองถ่าย Furious 7 (2015)

ผู้กำกับ James Wan ในกองถ่าย Furious 7 (2015)

ค่ายหนังจึงหันมาสนใจผู้กำกับเชื้อสายออสเตรเลีย-จีน-มาเลเซีย ที่กำลังมือขึ้นสุด ๆ จากหนังสยองขวัญอย่างแฟรนไชส์ Saw และ The Conjuring อย่าง James Wan เขาเคยเปรยกับโปรดิวเซอร์อย่าง Neal H. Moritz ว่า “ถ้า Lin ถอนตัวเมื่อไร ผมพร้อมเสียบ” ซึ่งพอถึงเวลา Moritz ก็ให้เขาเสียบจริง ๆ ทำให้นี่กลายเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของ Wan (ต่อมาเขาได้กำกับ Aquaman (2018) หนังซูเปอร์ฮีโรของดีซีต่อ) หนังยกระดับการถ่ายทำกลายเป็นหนังที่ถ่าย “ทั่วโลก” ของจริง เพราะมีโลเคชันตั้งแต่เมืองแอตแลนตา, จอร์เจีย, โคโลราโด ในสหรัฐฯ ข้ามไปถึงตะวันออกกลางอาบูดาบี ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ Wan ก็สร้างหนังเรื่องนี้โดยมีแรงบันดาลใจเป็นหนังอย่าง Seven Samurai (1954) (Wan อยากใช้ชื่อหนังว่า Furious Seven แบบเป็นตัวหนังสือแต่ค่ายหนังไม่ยอม)

อุบัติเหตุทางรถยนตร์ที่พรากชีวิต Paul Walker ไปด้วยวัย 40 ปี

อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่พรากชีวิต Paul Walker ไปด้วยวัย 40 ปี

Play video

แล้วข่าวร้ายที่เหมือนสายฟ้าฟาดนักแสดงและทีมงานทุกคนก็เกิดขึ้น เมื่อ Paul Walker นักแสดงหลักของเรื่องเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 ช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ด้วยวัยเพียง 40 ปี Vin Diesel ได้ออกมาประกาศเลื่อนกำหนดฉายของหนังจากปี 2014 ไปเป็น 10 เมษายน 2015 หรือราว ๆ 1 ปี ความยากของ James Wan ก็คือหนังเพิ่งถ่ายทำฉากที่มี Paul ไปได้แค่ครึ่งเดียว และก็ยากเกินกว่าจะย้อนกลับไปถ่ายทำใหม่ทั้งเรื่องแบบไม่มีตัวละคร “ไบรอัน” จึงต้องแก้ปัญหาโดยให้น้องชายทั้งสองคนของ Paul มาแสดงแทนและใส่ CGI ใบหน้าของเขาเข้าไปแทนในฉากอีกครึ่งนึงที่เหลือ (ถ้าสังเกตเห็นในหนังจะมีหลายฉากที่ถ่ายแบบไกล ๆ และเลี่ยงไม่ให้เห็นหน้าของ Paul) รวมถึงการใช้ฉากที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในภาค 5 มาใส่ไว้ด้วย (เช่น ฉากที่คุยกับมีอาในโรงรถ หรือฉากคุยกับดอมบนเครื่องบินระหว่างไปอาบูดาบี)

Play video

ตัวร้ายของภาคนี้ได้นักแสดงนักบู๊สุดฮอตอีกคนของวงการอย่าง Jason Statham มาเป็นคู่ปรับของดอมในบทของ “เดคคาร์ด ชอว์” พี่ชายของลุค ชอว์ที่มาล้างแค้นแทนน้อง ฝ่ายพระเอกก็มีตัวเสริมทัพเป็นนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง Kurt Russell, Djimon Hounsou, นักแสดงนักบู๊ชาวไทย “จา-พนม ยีรัมย์” ที่ได้แสดงหนังฮอลลีวูดที่ดังที่สุดในชีวิตเรื่องนี้ และตัวละครนักแฮกสาวคนใหม่ของครอบครัว Nathalie Emmanuel ในบท “แรมซีย์” เดิมทีหนังมีทุนสร้างราว 190 ล้านเหรียญฯ แต่ด้วยความล่าช้าของการถ่ายทำด้วยเหตุการเสียชีวิตของ Paul และอีกหลายอย่างก็ทำให้งบสร้างบานปลายไปถึง 250 ล้านเหรียญฯ แต่ด้วยความเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Paul Walker และระดมทีมนักแสดงคับคั่ง หนังก็ทำรายได้รวมทั่วโลกสุดท้ายไปถึง 1,500 ล้านเหรียญฯ ขึ้นแท่นอันดับ 9 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลจากทั่วโลก

Kurt Russell นักแสดงมากฝีมือรับบท "มิสเตอร์โนบอร์ดี้"

Kurt Russell นักแสดงมากฝีมือรับบท “มิสเตอร์โนบอร์ดี้”

เกร็ดเบื้องหลัง ภาค 7

Denzel Washington ใน The Equalizer ภาคแรก (2014) ช่วงเวลาใกล้เคียงกับ Furious 7 (2015) ถ่ายทำ

Denzel Washington ใน The Equalizer ภาคแรก (2014) ช่วงเวลาใกล้เคียงกับ Furious 7 (2015) ถ่ายทำ

  • บท “มิสเตอร์โนบอดี้” ของ Kurt Russell เคยถูกเสนอให้ Denzel Washington มาก่อนแต่เขาปฏิเสธ นอกจากนั้น ยังมีนักแสดงอีกหลายคนที่ถูกเสนอให้มารับบทรับเชิญในภาคนี้ที่ไม่มีการเปิดเผย แต่จะมีบทบาทมากขึ้นในภาคต่อ ๆ ไป ทั้ง Taylor Lautner จากแฟรนไชส์ Twilight, นางเอกออสการ์ Halle Berry, Deepika Padukone นักแสดงสาวชื่อดังชาวอินเดีย แต่ทุกคนก็ติดด้วยเหตุต่าง ๆ จนไม่ได้มาร่วมแสดง
  • เป็นหนัง Fast ที่มีความยาวมากที่สุดในแฟรนไชส์ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 17 นาที
  • หลังจากรถของฮานถูกชน ภาพของเขาและบันทึกต่าง ๆ ก็เผยให้เห็นชื่อเต็มของเขาคือ “ฮาน โซล-โอ” (Han Seoul-OH) ที่ทีมสร้างตั้งใจให้เป็นการคารวะ “ฮาน โซโล” ของหนัง Star Wars และเชื่อมโยงกับนักแสดง Sung Kang ที่มีเชื้อสายเกาหลี (ชื่อเมืองหลวงอย่างกรุงโซล ของประเทศเกาหลีใต้นั่นเอง)
  • ในฉากการต่อสู้ของดอมและเดคคาร์ด ถ้าสังเกตดี ๆ ทีมงานได้ใส่รถ BMW และรถ Audi จากหนัง The Transporter (2002) และ Transporter 2 (2005) หนังแจ้งเกิด Statham ในฐานะนำเดี่ยวไว้ด้วย
  • ในภาคนี้ หนังทำรายได้รวมทั่วโลกในสุดสัปดาห์ 3 วันแรกที่เข้าฉายถึง 384 ล้านเหรียญฯ มากกว่าที่ภาค 1 ทำได้ตลอดทั้งโปรแกรมฉาย
  • เพลง See You Again ของ Wiz Khalifa และ Charlie Puth ที่หนังใช้อุทิศแด่ Paul Walker ประกอบช่วงท้ายเรื่องด้วย กลายเป็น Original Soundtrack ที่มีผู้ชมบน YouTube สูงที่สุดในโลก โดยมีผู้ชมมากกว่า 1 ล้านครั้งในปี 2015 ที่หนังเข้าฉาย และจนถึงขณะนี้มีผู้ชมไปแล้วกว่า 4,517 ล้านครั้ง เพลงนี้ยังได้เข้าชิงเพลงประกอบยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำด้วย

Play video

ในฉากตอนจบของภาค 7 ที่กลายเป็นหนึ่งในฉากจบของภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาลไปแล้ว (เชื่อว่า คอหนังและแฟน Fast เสียน้ำตาให้กับฉากนี้) ที่จะเห็นรถของดอมและไบรอัน ขับรถตีคู่กันมาก่อนที่ไบรอันจะเอ่ยถามว่า “ไม่คิดจะลากันหน่อยหรือ?” ก่อนจะขับแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง ฉากนี้เป็นการสะท้อนธรรมเนียมทางการบินที่เรียกว่า “Missing Man Formation” ของแวดวงการบินที่เป็นการแสดงความเคารพและสดุดีในพิธีศพของนักบิน ซึ่งในภายหลังนำมาใช้กับบุคคลสำคัญต่าง ๆ ด้วย นักบินจะบินเป้นรูป Flypast ที่ฝูงบินจะบินมาด้วยกันก่อนที่ลำหนึ่งจะบินฉีกแยกตัวออกไปลำเดียว ธรรมเนียมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในพิธีศพของกษัตริย์จอร์จที่ 5 ของสหราชอาณาจักร เมื่อปี 1936 ต่อมาสหรัฐฯ ก็นำมาใช้กับนายพลออสการ์ เวสโอเวอร์ ปี 1938 อย่างในเอเชียเองก็เคยมีการใช้ในพิธีศพของนายลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์เมื่อปี 2015

ผมไม่อยากให้ใครใช้โศกนาฏกรรมครั้งนั้นเป็นโครงของเนื้อเรื่อง มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก แต่มันคือการปลอบประโลมใจบางอย่าง เราใช้สิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นเนื้อเรื่องและเราได้ทำสิ่งที่งดงามและมีระดับ มันอาจเป็นช่วงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่ในอาชีพของผม แต่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้ชายทั่วโลกสามารถที่จะร้องไห้ด้วยกันได้” Diesel ให้สัมภาษณ์ไว้ไม่นานนี้ (ปี 2020)

หนังรถซิ่งที่จะไปสู้กันถึงอวกาศก็คงจะไปได้ใน The Fate of the Furious ภาค 8

ด้วยความที่หนังภาค 7 ได้ใช้โอกาสในการร่ำลาตัวละครไบรอันของ Paul Walker ทำให้ความสะเทือนใจกลายเป็นแรงผลักดันให้หนังประสบความสำเร็จทางรายได้นอกจากความสนุกของหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (เช่นเดียวกันกับในกรณีของ The Dark Knight (2008) ที่ผู้ชมแห่ไปดูเพราะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Heath Ledger ก่อนที่จะเสียชีวิต) ทำให้หนังภาคนี้ก็ถูกจับตามองว่า ท้ายที่สุดจะทำความสำเร็จได้ใกล้เคียงจากภาคที่แล้วหรือไม่ หนังเปลี่ยนมือผู้กำกับอีกครั้งเป็น F. Gary Gray ที่เคยทำหนังอาชญากรรมของคนผิวสีที่ฮิตพอประมาณในยุค 90s มาก่อนอย่าง Set It Off (1996) เคยทำหนังปล้นที่มีฉากไล่ล่าด้วยรถสุดระทึกอย่าง The Italian Job (2003) และเคยกำกับหนังที่ Diesel นำแสดงอย่าง A Man Apart (2003) “ผมไม่กดดันเพราะผมมีมุมมองของตัวผมเอง” ผู้กำกับให่สัมภาษณ์เอาไว้

การรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับ "ดอม" ที่เหมือนจะแปรพักตร์ไปเข้าฝ่ายวายร้ายใน Fast ภาค 8

การรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับ “ดอม” ที่เหมือนจะแปรพักตร์ไปเข้าฝ่ายวายร้ายใน Fast ภาค 8

ในภาคนี้หนังได้สองนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์มารับบทตัวร้ายและบทนำ ทั้ง Charlize Theron ที่เคยร่วมงานกับ Gray มาตั้งแต่ The Italian Job และ Helen Mirren จาก The Queen (2006) “ฉันอยากขับรถซิ่งในเรื่องนะ แต่โชคร้ายที่ฉันอด…ไม่แน่อาจจะได้ขับในหนัง Fast 12” เธอกล่าวอย่างติดตลก ที่เธอไม่ได้ขับรถซิ่งเลยเพราะมารับบทเป็นแม่ของเด็ดคาร์ดและโอเว็น ชอว์ที่กลายเป็นเข้าพวกเป็นตัวดีฝั่งเดียวกับดอม ที่ทำให้แฟน ๆ Fast ส่วนหนึ่งเสียเส้นไปเหมือนกันกับการกลับลำอย่าง่ายดายเกินไปของตัวร้ายในภาคก่อนสองตัวนี้ สุดท้ายแม้หนังจะไม่สามารถโค่นสถิติรายได้ของภาค 7 ลงได้ แต่หนังก็ทำรายรับรวมทั่วโลกข้ามหลักพันล้านเหรียญฯ ไปที่ 1,236 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ 250 ล้านเหรียญฯ

Charlize Theron มารับบทตัวร้ายในภาค 8 ที่ภาค 9 ก็ยังกลับมา

Charlize Theron มารับบทตัวร้ายในภาค 8 ที่ภาค 9 ก็ยังกลับมา

Helen Mirren มารับบทเป็นเจ้าแม่ขาใหญ่ แม่ของเด็คคาร์ด และลุค ชอว์

Helen Mirren มารับบทเป็นเจ้าแม่ขาใหญ่ แม่ของเด็คคาร์ด และลุค ชอว์

เมื่อมีการประกาศสร้างมาถึงภาค 8 แล้ว Diesel ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างของหนังด้วยก็กล่าวว่า หนังน่าจะเดินเรื่องไปจบที่ภาค 10 ซึ่งจะเป็นภาคสุดท้าย ขณะที่ Universal ก็ไม่ปล่อยให้แฟรนไชส์นี้ต้องสูญสิ้น ด้วยการแตกหน่อขยายจักรวาลที่เริ่มไปแล้วกับ Hobbs & Shaw (2019) ที่ก็ทำรายได้ทั่วโลกไป 759 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญฯ และ Universal ก็พอใจกับรายได้นี้จนเดินเครื่องสร้างภาค 2 ของภาคแยกนี้เป็นที่เรียบร้อยแต่ยังไม่ประกาศกำหนดถ่ายทำและเข้าฉายในตอนนี้

Hobb & Shaw (2019) ภาคแยกที่ทำรายได้ดีจนมีภาค 2 แน่นอน

Hobb & Shaw (2019) ภาคแยกที่ทำรายได้ดีจนมีภาค 2 แน่นอน

เกร็ดเบื้องหลังนักแสดงตลอดทั้ง 8 ภาค

  • 2 Fast 2 Furious (2003) เป็นภาคเดียวที่ไม่มี Vin Diesel นำแสดง และจากภาคแรกที่เขาได้ค่าตัว 2.5 ล้านเหรียญฯ มาถึงภาค 5 เท่าที่เคยมีรายงานออกมา เขาอัปค่าตัวไปได้ถึง 15 ล้านเหรียญฯ
  • ก่อนบท “ไบรอัน” จะตกมาถึงมือของ Paul Walker เคยมีการเสนอบทนี้ให้กับ Mark Wahlberg, Christian Bale และแรปเปอร์อย่าง Eminem มาก่อน
แร็พเปอร์คนดัง Eminem ในหนัง 8 Miles (2002) ช่วงเดียวกับที่หนัง Fast ภาคแรกเข้าฉาย

แร็พเปอร์คนดัง Eminem ในหนัง 8 Miles (2002) ช่วงเดียวกับที่หนัง Fast ภาคแรกเข้าฉาย

  • ก่อนบท “มีอา” จะตกถึงมือ Jordana Brewster บทนี้เคยถูกเขียนตั้งแต่แรกให้กับนักแสดง Eliza Dushku จาก Bring it On (2000) และ Wrong Turn (2003) แต่เธอปฏิเสธไป นอกจากนั้น Natalie Portman, Kirsten Dunst, Sarah Michelle Gellar และ Jessica Biel ก็เคยมาออดิชันบทนี้แต่พลาดไป
Kirsten Dunst และ Eliza Dushku ใน Bring It On (2000)

Kirsten Dunst และ Eliza Dushku ใน Bring It On (2000)

  • Michelle Rodriguez ไม่รู้มาก่อนว่าเธอจะได้กลับมาเล่นภาค 6 เพราะเธอก็เข้าใจว่าเล็ตตี้ตายไปแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ในภาค 4 จนกระทั่งเธอได้มาดูท้ายภาค 5 พร้อมกันกับผู้ชมทั่วไปว่า เล็ตตี้ยังไม่ตาย
  • บทเทจของแรปเปอร์อย่าง Ludacris นั้นเคยจะตกเป็นของแรปเปอร์อีก 2 คนอย่าง Jarool ที่มารับบทเล็ก ๆ ในภาคแรก และ Redman ที่คิวไม่ว่างตอนที่ทีมงานติดต่อไป
  • จีเซล ตัวละครของ Gal Gadot เกือบได้ปรากฎตัวในภาค 7 ในฉากที่ย้อนไปเล่าขยายความเหตุการณ์ในภาค 4 ที่เธอช่วยเหลือเล็ตตี้ให้รอดตาย แต่สุดท้ายทีมสร้างตัดสินใจไม่เอาเธอกลับมา
  • Jason Statham เกือบจะได้รับบท “ลุค ชอว์” ของ Luke Evans มาตั้งแต่ภาค 6 แต่ตอนนั้นเพราะติดคิวหนังเรื่อง Parker (2013) และ Wild Card (2015) ต่อมา Vin Diesel ก็ยังอยากร่วมงานกับ Statham ให้ได้ เลยชวนกลับมาเล่นภาค 7 อีกที
Jason Statham เกือบได้รับบท "โอเว่น ชอว์" ของ Luke Evans ตอนภาค 6

Jason Statham เกือบได้รับบท “โอเว่น ชอว์” ของ Luke Evans ตอนภาค 6

การกลับมาของภาค 9 พร้อมคำนิยามชื่อแฟรนไชส์ว่าเป็น The Fast Saga

Play video

ภาค 9 นี้ ต้อนรับผู้กำกับ Justin Lin กลับสู่อ้อมอกของแฟรนไชส์อีกครั้ง รวมถึงการได้นางร้าย Charlize Theron ในบท “ไซเฟอร์” กลับมาด้วย คนดูจะได้เห็นครอบครัวของทอเร็ตโตและลูกชายตัวน้อย พร้อมกับภรรยา “เล็ตตี้”  และยังได้นักมวยปล้ำที่มาเอาดีทางการแสดงอีกคนอย่าง John Cena เข้าสู่แฟรนไชส์ กับบทบาท “น้องชายของดอม” ที่จะมาเป็นคู่ปรับคนใหม่ แต่ตัวอย่างก็ชวนให้น่าคิดว่า จะเป็นตัวร้ายปลอม ๆ ที่ต้องไปตามดูตัวร้ายจริงในเรื่องกันอีกที

Poster ทางการของ Fast & Furious 9

Poster ทางการของ Fast & Furious 9

การกลับมาของผู้กำกับ Lin ที่พาตัวละครสุดรักของเขา (รวมถึงนักแสดงคู่บุญอย่าง Sung Kang) อย่าง “ฮาน” กลับมาด้วย ก็สร้างความฉงนและความเซอร์ไพรส์ให้แฟน ๆ กรี๊ดแตกว่าตัวละครที่ตายไปแล้วตัวนี้ยังจะกลับมาอีท่าไหนได้ “ตอนที่ผมแยกออกมาจากแฟรนไชส์ใน ภาค 6 ผมรู้สึกว่าได้วางเรื่องราวของตัวละครฮานให้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วในเวลานั้น แต่มันก็มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งไม่ค่อยเข้าท่าสำหรับผมในเวลาต่อมา ผมคิดว่าจะโอเคไหมที่เราจะเอาเขากลับมาอีก มันขึ้นอยู่กับเราที่จะนำฮานกลับมายังไง เพื่อที่จะนำบรรยากาศเก่า ๆ ที่เราคุ้นเคยกลับมาด้วย ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก” ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายจริง ๆ กับการให้เหตุผลที่ไม่หลุดโลกมากว่าฮานยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง?

ในภาคนี้อาจมีดรามาเฟมินิสต์เล็ก ๆ เกิดขึ้น เมื่อนักแสดงสาว Michelle Rodriguez ออกมาโพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า “ฉันก็หวังว่าทีมงานจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความรักและเคารพที่มีต่อตัวละครเพศหญิงในภาคต่อไป หรือไม่ก็อาจเป็นฉันที่ต้องบอกลาหนังแฟรนไชส์สุดที่รักนี้”  ก่อนหน้านี้ Rodriguez เคยออกมาแสดงความคิดเห็นตอนที่ภาค 8 เพิ่งเปิดตัวฉาย ว่าหนังให้ความสำคัญกับฉากบู๊แอ็กชัน โฟกัสไปที่ความแข็งแกร่งของผู้ชายมากเกินไป ซึ่งเธอมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงในสังคมโลก

หรือ “ไบรอัน” จะกลับมาอีกหน? 

ในตัวอย่างของหนังภาค 9 เปิดขึ้นมาด้วยเพลง See You Again ซึ่งผู้กำกับ Justin Lin ที่กลับมาด้วยกับภาคนี้ เผยว่า ที่เลือกเพลงนี้ขึ้นต้นเพราะอยากจะเน้นเรื่องความผูกพันของครอบครัวมากขึ้นไปอีก ชวนให้สงสัยว่าหรือตัวละครไบรอันของ Paul Walker จะกลับมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ Vin Diesel ก็เคยลงรูป Cody Walker พี่ชายของ Paul Walker มาเยี่ยมกองถ่ายด้วย แต่ล่าสุด นักแสดงร่วมในเรื่องอย่าง Tyreese Gibson ก็ได้เปิดเผยว่า ครอบครัวของ Paul อยากให้บทไบรอันสิ้นสุดลงแค่ภาค 7 เท่านั้น “จากที่ผมได้พูดคุยกับพ่อแม่ของ Paul พวกเขาต้องการให้หนังภาค 7 เป็นเรื่องสุดท้ายของไบรอัน และพวกเขาได้ส่งข้อความมาอวยพรตอนรอบปฐมทัศน์ของ Fast 8 ให้หนังเดินหน้าต่อไป และพวกเขาพร้อมให้การสนับหนุนหนังตลอดไป”

อ้างอิง

อ้างอิง

อ้างอิง

อ้างอิง

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส