ก่อนที่ภาพยนตร์แอ็กชันเลือดสาดอย่าง ‘Boy Kills World’ จะเข้าฉาย มอริตซ์ โมห์ร (Moritz Mohr) ผู้กำกับ ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ GameRadar และพอดแคสต์ Total Film โดยได้อธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแตกต่างจาก ‘John Wick’ ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็กชันที่มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์แอ็กชันในยุคนี้มากที่สุด

นับว่าเป็นเกียรติ เพราะภาพยนตร์เหล่านี้ (หมายถึงแฟรนไชส์ 'John Wick') มีความน่าอัศจรรย์ ผมคิดว่าเรามาจากเศษเสี้ยวหนึ่งในมุมที่แตกต่าง เพราะเราพยายามสร้างภาพยนตร์ศิลปะป้องกันตัว แล้วได้เพิ่มปืนเข้ามา ในขณะที่ 'John Wick' เป็นภาพยนตร์แอ็กชันที่ใช้ปืน แล้วเพิ่มศิลปะป้องกันตัวเข้ามา

ผมหมายถึง 'John Wick' เป็นภาพยนตร์แอ็กชันที่ออกแบบได้อย่างงดงาม แต่มีฉากแอ็กชันชั้นยอด ดั้งนั้นถ้าผู้ชมต้องการนำภาพยนตร์เรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับ 'John Wick' ผมก็ยินดีมากนะ

‘Boy Kills World’ เป็นผลงานสร่างล่าสุดของ แซม ไรมี (Sam Raimi) ผู้สร้างแฟรนไชส์ ‘Evil Dead’ เล่าเรื่องของเด็กชายหูหนวกและเป็นใบ้ ที่ฝึกฝนตนเองเป็นนักฆ่าที่ไร้ความปราณีเพื่อตามล่าผู้ที่สังหารครอบครัวของเขา โดยได้ บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) นำแสดง

สการ์สการ์ดได้ร่วมแสดงใน ‘John Wick: Chapter 4’ (2023) ด้วย

Boy Kills World

‘John Wick’ ภาคแรกได้เข้าฉายเมื่อปี 2014 ซึ่งได้ปรับโฉม คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) เป็นมือสังหารในตำนาน โดย เดวิด ลิตช์ (David Leitch) ที่กำกับแบบไม่รับเครดิต และ แชด สตาเฮลสกี (Chad Stahelski) ได้ออกแบบฉากแอ็กชันที่เรียกว่า “Gun Fu” ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ และทำให้ผู้ชมจดจำได้ดี

สตาเฮลสกีได้สานต่อความสำเร็จของ ‘John Wick’ ไปอีก 3 ภาค โดยได้ยกระดับความซับซ้อนของการออกแบบฉากแอ็กชันขึ้นไปในทุกภาค ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการออกแบบงานสตันท์

ด้วยความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ ทำให้แฟรนไชส์ ‘John Wick’ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้สร้างภาพยนตร์แอ็กชันในยุคหลังหลายเรื่อง โดยที่เพิ่งเข้าฉายไป คือ ‘Monkey Man’ ของ เดฟ พาเทล (Dev Patel) ซึ่งได้รับคำชมในการออกแบบฉากแอ็กชันที่ดิบเถื่อนและงานศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์