4.อิวาน มิลัต ฝันร้ายของนักเดินทาง


ข้ามมาทางประเทศออสเตรเลียบ้าง ที่นี่ก็มีฆาตกรจอมเลือดเย็น และน่าจะเป็นรายที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดในรายชื่อนี้แล้ว อิวานเป็นทั้งฆาตกรต่อเนื่องและมีความวิปลาส เขาออกจัดการกับเหยื่อในช่วงปี 1989 – 1994 ในพื้นที่รัฐนิวเซาธ์เวลส์ และจ้องจัดการเฉพาะนักท่องเที่ยวผจญภัยแบกเป้หลังใหญ่ ๆ ที่เราเรียกกันว่า Backpacker วิธีการหาเหยื่อของอิวานก็คือเขาจะขับรถตระเวนไปตามถนน พอมีนักเดินทางโบกรถขออาศัยไปด้วย เขาจะจอดรับด้วยความยินดี แต่บรรดานักท่องเที่ยวก็หารู้ไม่ว่านั่นคือวาระสุดท้ายของพวกเขาแล้ว
ชื่อเสียงของอิวาน มิลัต เริ่มเป็นที่กระฉ่อนในฐานะ ฆาตกรต่อเนื่อง เริ่มขึ้นในเดือนกันยายน ปี 1992 เมื่อมีผู้พบศพเหยื่อ 2 รายแรกของเขา เป็นนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวอังกฤษ แคโรไลน์ คลาร์ก อายุ 21 ปี และ โจแอน วอลเธอร์ อายุ 22 ปี ร่างของพวกเธอถูกฝังอยู่ตื้น ๆ มีใบไม้กิ่งไม้ปกคลุม สภาพศพเป็นที่น่าอเนจอนาถต่อผู้พบเห็น เพราะรายหนึ่งถูกแทงถึง 15 ครั้ง ส่วนอีกรายถูกยิงถึง 10 นัด ตำรวจไร้ซึ่งเบาะแสที่จะสืบสาวถึงตัวฆาตกรได้
เวลาผ่านไปอีก 1 ปี มีผู้พบศพเพิ่มอีก 2 ราย และผ่านไป 1 เดือนก็พบเพิ่มอีก 3 ราย ตำรวจพิจารณารูปแบบการสังหารแล้วมั่นใจว่าทุกศพเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน การกระทำของอิวานไม่เพียงแค่สร้างความตระหนกไปทั่วรัฐนิวเซาธ์เวลส์แล้ว ยังสร้างความเสื่อมเสียต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของออสเตรเลียอีกด้วย เพราะนักท่องเที่ยวต่างหวาดผวาไม่กล้ามาเที่ยว ตำรวจยิ่งต้องเร่งสืบหาตัวเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศให้ได้โดยเร็ว
แต่ที่จริงแล้วตำรวจสถานีโบว์รัล มีเบาะแสของ อิวาน มิลัต มาตั้งแต่ 25 มกราคม 1990 แล้วด้วย ในวันนั้น พอล อันเยินส์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่มีเป้าหมายจะมาปีนเขาในเมือง มิลดูรา ระหว่างทางที่เขาโบกรถไปยังจุดหมาย ก็มีชายใจดีที่ได้จอดรถรับเขาไปด้วย เขาแนะนำตัวว่าชื่อ “บิล” ระหว่างขับอยู่นั้นบิลก็จอดรถแล้วล้วงมือไปหยิบปืนพร้อมกับเชือกจากใต้เบาะนั่ง เขาหันไปบอกพอลว่า “นี่คือการปล้น” แต่น่าจะเป็นงานแรก ๆ ของอิวานเขาก็เลยไม่รอบคอบพอ พอลไม่รอช้าเขาเปิดประตูรถแล้วรีบวิ่งหนีออกไป อิวานลงจากรถวิ่งตามแล้วยิงไล่หลังไป โชคของพอลยังดี ที่โจแอนน์ เบอร์รี ขับรถผ่านมาพร้อมกับน้องสาวและเด็ก ๆ ในรถอีก 5 คน เพราะเธอจอดรับพอล ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ เธอยังขับรถไปส่งพอลที่สถานีตำรวจโบว์รัล ซึ่งเขาได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้


เวลาผ่านไป 3 ปี ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 1993 พอล อันเยินส์ ได้อ่านหนังสือพิมพ์เจอข่าวฆาตกรต่อเนื่องในนิว เซาธ์เวล บริเวณใกล้ ๆ กับที่เขาประสบเหตุ พอลมั่นใจว่าฆาตกรจะต้องเป็นนายบิลคนที่เกือบฆ่าเขา พอลจึงโทรทางไกลไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจผู้รับผิดชอบคดีฟัง ทำให้คำให้การของพอลเมื่อปี 1990 ถูกหยิบขึ้นมาเป็นเบาะแสสำคัญในการตามล่าตัวฆาตกร ตำรวจนิวเซาธ์เวลส์ยังออกค่าใช้จ่ายเชิญพอลมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมกับโจแอนน์ เบอร์รี หญิงที่ช่วยชีวิตพอล และยังมีบรรดาญาติของเหยื่ออีกหลายคน
ข้อมูลจากพอล อันเยินส์ เป็นประโยชน์มาก ทำให้ตำรวจตีวงได้แคบลงและระบุตัวคนร้ายได้ว่าเป็นนาย อิวาน มิลัต ส่งผลให้ตำรวจจับกุมตัวเขาได้ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1994 ที่บ้านบนถนนซินนาบาร์ อิวาน มิลัต ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่เป็นผล ผู้พิพากษาสั่งจำคุกตลอดชีวิต 7 รอบ ตามจำนวนเหยื่อ แต่อิวานก็เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2019


แน่นอนว่าด้วยความโหดของอิวาน มิลัต ต้องกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างหยิบมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ เพราะเรื่องราวของเขาคือวัตถุดิบอย่างดีสำหรับพล็อตเรื่องแนวสยองขวัญ แล้วหนังที่ออกมาก็คือเรื่อง Wolf Creek ปี 2005 เรื่องราวของ 3 นักท่องเที่ยวในออสเตรเลีย ที่ได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าจอดรับพวกเขาและเธอ แต่แล้วก็กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิต เมื่อชายใจดีแปลงร่างเป็นยมทูตสุดอำมหิต ที่สนุกกับการทรมานและสังหารเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม หนังประสบความสำเร็จ ทำให้มีการสร้างภาคต่อ หนังยังสร้างชื่อให้กับ ผู้กำกับ เกร็ก แม็กลีน ได้มีผลงานสนุกออกมาอีกหลายเรื่องอย่าง Rogue (2007), The Belko Experiment (2016) และ Jungle (2017)
5.ฆาตกรล่องหน Phantom Killer
เป็นคดีฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในรายชื่อนี้ เพราะเกิดเหตุเมื่อ 74 ปีที่แล้ว และเป็นคดีที่ยังตามจับตัวฆาตกรไมได้ ถึงได้ชื่อฉายาว่า “ฆาตกรล่องหน” คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1946 ในเมืองเท็กซาร์คานา รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ระยะเวลาการก่อเหตุไม่ยาวนานนัก เกิดขึ้นในช่วง 10 สัปดาห์เท่านั้น และเป็นการก่อเหตุที่ไร้ซึ่งแรงจูงใจคาดเดาเจตนาฆาตกรไม่ได้ เพราะบางทีเขาก็เจาะจงเหยื่อเป็นวัยรุ่น บางครั้งก็เป็นชายหญิงวัยกลางคน


ฆาตกรล่องหนเริ่มก่อคดีแรกในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1946 เหยื่อเป็นวัยรุ่นคู่รัก จิมมี ฮอลลสิส วัย 24 และ แมรี เจน ลาเรย์ วัย 19 ปี ทั้งคู่กำลังพลอดรักในรถที่จอดอยู่ชานเมืองเท็กซาร์คานา จู่ ๆ ชายลึกลับก็บุกเข้ามาประชิดตัว ใช้ปืนขู่ให้ทั้งคู่ออกมาจากรถ เขาใช้ปืนตีศีรษะจิมมีจนสลบ แล้วลงมือลวนลามแมรี โชคดีมากที่มีรถชาวบ้านขับผ่านมาตรงจุดนั้นทำให้ ฆาตกรล่องหนไม่ทันได้ลงมือรุนแรงกว่านี้แล้วรีบหนีไปเสียก่อน
ฆาตกรล่องหนลงมืออีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม เหยื่อคราวนี้ไม่โชคดีเหมือนคู่แรก ริชาร์ด กริฟฟิน วัย 29 อยู่กับพอลลีน แอน มัวร์ วัย 17 ปีแฟนของเขา คู่นี้ก็พลอดรักกันในรถเหมือนกับคู่แรกในแถบชานเมือง ทั้งคู่ไม่สามารถให้การได้เพราะถูกพบเป็นศพในเช้าวันรุ่งขึ้น ร่างของทั้งคู่อยู่ในรถ ซึ่งจอดอยู่บนถนนย่านโบวีเคาน์ตี ทั้งสองถูกยิงเข้าทางด้านหลังศีรษะ แต่พบรอยเลือดอยู่ห่างออกไปจากรถประมาณ 6 เมตร เจ้าหน้าที่เชื่อว่าทั้งคู่ถูกฆ่านอกรถแล้วนำร่างยัดกลับมาไว้ในรถ
ครั้งที่ 3 ในวันที่ 13 เมษายน พอล มาร์ติน วัย 17 ปีมารับเพื่อนสาวของเขา เบตตี้ โจ บุคเกอร์ วัย 15 ปี ที่เล่นแซกโซโฟนกับวงของเธอในคลับบนถนนโอ๊ค เมื่อเวลา ตี 1:30 น. ทั้งคู่ไม่ได้กลับถึงบ้าน เช้าวันรุ่งขึ้นมีชาวบ้านพบร่างของ พอล มาร์ติน ถูกยิง 4 นัด บนถนนนอร์ธ ปาร์ก ส่วนร่างของเบตตี้ ถูกพบห่างออกไปไกลถึง 3.2 กิโลเมตร เธอถูกยิง 2 นัด เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าอาวุธปืนเป็นกระบอกเดียวกันกับเหตุสังหารก่อนหน้า
หลังจากข่าวของ พอล มาร์ติน และ เบตตี โจ บุคเกอร์ กระจายออกไป ชาวบ้านเท็กซาร์คานา ต่างอกสั่นขวัญแขวนกลัวจะเป็นเหยื่อรายต่อไป หลายบ้านรีบเข้าบ้านล็อกประตูหน้าต่างตั้งแต่พลบค่ำ ยอดขายปืนและอาวุธขายดีอย่างมากเพราะชาวบ้านต่างซื้อไปป้องกันตัว มีวัยรุ่นอีกหลายคนที่ฮึกเหิม ออกล่าตัวฆาตกรกันเอง มีการวางแผนแกล้งปลอมเป็นคู่รักนั่งในรถเพื่อล่อเหยื่อ แต่ก็ไม่เป็นผล บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ออกลาดตระเวนกันถ้วนถี่มากขึ้นแต่ก็ยังไร้วี่แววตัวฆาตกร แต่แล้วฆาตกรล่องหนก็ก่อคดีอีกครั้งจนได้
วันที่ 4 พฤษภาคม รอบนี้ฆาตกรล่องหนขยายอาณาเขตไปก่อเหตุในรัฐอาร์คันซอ ห่างจากละแวกเดิมราว 20 กิโลเมตร เหยื่อเป็นชายหญิงวัยกลางคน เวอร์จิล สตาร์ก วัย 36 ปี และ แคธี สตาร์ก วัย 35 ปี เป็นการตายที่ถึงคราวซวยสุด ๆ เพราะทั้งคู่อยู่ในบ้านตัวเอง แล้วฆาตกรยิงจากนอกบ้านเข้าไปโดนเวอร์จิลที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาเสียชีวิตทันที แคธี สตาร์ก อยู่ในห้องนอนบนชั้น 2 ได้ยินเสียงปืนวิ่งลงมาที่ชั้นล่าง ก็เลยโดนฆาตกรล่องหนกระหน่ำยิงไป 2 นัด กระสุนโดนบริเวณใบหน้าและปาก เธอร้องด้วยความตกใจวิ่งออกไปนอกบ้านขอความช่วยเหลือ ทำให้รอดชีวิตมาได้ ตำรวจได้เบาะแสเพียงรอยเท้าเปื้อนโคลนของฆาตกรล่องหนที่ทิ้งไว้ในบ้าน แต่ก็ไม่สามารถโยงใยถึงบุคคลต้องสงสัยได้
เดือนกรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว ยูเอล สวินนีย์ วัย 29 ปี เขามีประวัติการกระทำความผิดโชกโชนหลายคดี ทั้งขโมยรถ ทำร้ายร่างกาย และปลอมแปลง ในการนี้ตำรวจยังได้ควบคุมตัว เพ็กกี สวินนีย์ ภรรยาของเขามาด้วยในข้อหาสมรู้ร่วมคิด เพ็กกี้รีบซัดทอดว่ายูเอลนั่นแหละคือฆาตรล่องหน แต่ตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะคำให้การของเธอปรับเปลี่ยนไปเรื่อยทุกครั้งที่เล่า ทำให้ข้อมูลของเธอไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่กระนั้นยูเอล สวินนีย์ ก็ถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงรายเดียวในคดีนี้ จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นปริศนาที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย


แม้ว่า ฆาตกรล่องหน Phantom Killer จะเป็นคดีสะเทือนขวัญ แต่ผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคดีนี้ล้วนเป็นหนังที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก เรื่องแรกถูกสร้างในปี 1974 ชื่อเรื่องว่า The Town That Dreaded Sundown
Seven Psychopaths (2012) มีฉากหนึ่งที่อ้างอิงถึงฆาตกรล่องหน เมื่อคู่รักพยายามวางกับดักล่อฆาตกร Texarkana Moonlight Murderer ที่เป็นอีกฉายาหนึ่งของฆาตกรล่องหน
ทีวีซีรีส์ Riverdale มีตอนหนึ่งที่ชื่อว่า “The Town That Dreaded Sundown” ที่พูดถึงฆาตกรล่องหน
6.บ้านผีสิงเอมิตี้วิลล์


เป็นเหตุฆาตกรรมที่น่ากลัวที่สุดในรายชื่อนี้ เพราะสาเหตุยังคลุมเครือว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แล้วน่ากลัวทั้งเหตุฆาตกรรมและความโจษจันในเรื่องบ้านที่เกิดเหตุซึ่งกลายเป็นบ้านผีสิง และหนังที่ได้แรงบันดาลใจจากเหตุฆาตกรรมนี้ก็เน้นหนักเฉพาะเรื่องราวสยองขวัญมากกว่าเหตุฆาตกรรมต้นกำเนิดเรื่องราว
ตำนานเริ่มต้นในเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน 1974 ที่เมืองเอมิตี้วิลล์ เขตชานเมืองของรัฐนิวยอร์ก เวลา 18:30 โรนัลด์ เดอฟิโอ จูเนียร์ หนุ่มวัย 23 ปี พรวดพราดเข้าไปในบาร์เฮนรี่ ที่อยู่ใกล้กับบ้านของเขา โรนัลด์สร้างความแตกตื่นให้กับลูกค้าในบาร์ เมื่อเขาตะโกนบอกว่า
“ทุกคนช่วยผมด้วย ผมคิดว่าพ่อกับแม่ผมถูกยิง”
คำร้องขอได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มหนึ่ง ตามโรนัลด์ออกจากร้านไปยังบ้านเลขที่ 112 ถนนโอเชียน ซึ่งอยู่ใกล้กันกับบาร์เฮนรี่ เมื่อไปถึงภายในบ้านทุกคนก็ได้เห็นภาพชวนสยดสยอง เมื่อพบร่างพ่อกับแม่ของโรนัลด์นอนตายอยู่บนเตียง ตามที่เขากล่าว
โจ เยสวิต เพื่อนของโรนัลด์รีบโทรแจ้งตำรวจทันที เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงบ้านที่เกิดเหตุเขายังพบว่าไม่ได้มีเพียงพ่อและแม่ของโรนัลด์ที่ตาย แต่ยังรวม ๆ ถึงน้อง ๆ ของเขาด้วย รวมแล้ว 6 ชีวิตที่ตายอยู่บนเตียงของแต่ละคน
ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คนมีดังนี้ โรนัลด์ เดอฟีโอ ซีเนียร์ ผู้เป็นพ่อวัย 44 ปีและ ลุยส์ เดอฟีโอ ผู้เป็นแม่วัย 42 ปี ดอว์น ลูกสาวคนโตวัย 18 ปี อัลลิสัน น้องสาวคนรอง วัย 13 ปี มาร์คน้องชายคนรองวัย 12 ปีและสุดท้าย แมทธิว น้องชายคนเล็กวัยเพียง 9 ปี ทุกรายถูกยิงด้วยปืนไรเฟิล มาร์ลิน 336C ทุกศพอยู่ในท่านอนคว่ำบนที่นอน เหตุเกิดประมาณตี 3 ก่อนหน้าที่โรนัลด์จะวิ่งออกไปแจ้งข่าวไม่กี่ชั่วโมง
เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพแล้วพบว่ามีเฉพาะพ่อกับแม่ที่โดนยิงคนละ 2 นัด ส่วนเด็ก ๆ โดนยิงตายภายในนัดเดียว ผลการชันสูตรยังบอกได้อีกว่ามีเพียง ลุยส์ และ อัลลิสัน 2 รายนี้ที่โดนยิงขณะที่ยังตื่นอยู่ ทั้ง 6 ศพถูกฝังที่สุสานเซนต์ ชาร์ล ในฟาร์มิงเดล ใกล้ ๆ กับบ้านที่เกิดเหตุ


แน่นอนว่าพยานรายเดียวในโศกนาฏกรรมนี้ก็คือ โรนัลด์ หรือฉายาที่เพื่อน ๆ เรียกว่า “บุตช์” จะต้องถูกสอบสวนอย่างหนักเพราะเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต ตำรวจวิเคราะห์จากคำให้การของโรนัลด์แล้วสันนิษฐานว่าเหตุฆาตกรรมนี้น่าจะเป็นฝีมือของ ลุยส์ ฟาลินี มือปืนประจำแก๊งเจ้าถิ่นที่อยู่ในละแวกนั้น แต่ตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียว เพราะลุยส์ ฟาลินี ก็มีพยานยืนยันที่อยู่หนักแน่นว่าเขาอยู่นอกเมืองในคืนเกิดเหตุ ส่วนคำให้การของโรนัลด์กลับดูวกวนแล้วไม่สอดคล้องกับหลักฐานที่เกิดเหตุ ในวันต่อมาโรนัลด์ก็จำนนต่อหลักฐาน แล้วสารภาพว่าเขาเองคือผู้ลงมือสังหารพ่อแม่และน้อง ๆ ของตัวเอง คำให้การของเขาช่างน่ากลัวนัก
“เมื่อผมได้เริ่มลงมือไปแล้ว ผมก็สนุกจนหยุดไม่ได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก”
โรนัลด์ยังยอมรับอีกว่าหลังจากลงมือสังหารทุกคนแล้ว เขาก็อาบน้ำแต่งตัว แล้วเอาหลักฐานต่าง ๆ ไปทิ้งทั้งปืน เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดและปลอกกระสุน ตั้งแต่นั้นทุกวันเขาก็ออกไปทำงานเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โรนัลด์ ให้การในชั้นศาลว่า เขากระทำการทั้งหมดเพราะเป็นการป้องกันตัวเอง เนื่องจากเขาได้ยินว่าทุกคนในครอบครัวสุมหัวกันวางแผนจะกำจัดเขา คำให้การของเขาได้รับการสนับสนุนจาก จิตแพทย์ประจำสำนักอัยการ แดเนียล ชวาร์ตซ์ ที่ยืนยันว่าอาการของโรนัลด์นั้นคืออาการประสาทหลอนจากการเสพเฮโรอีนและ แอล.เอส.ดี ในปริมาณมาก นอกจากนั้นเขายังเป็นโรค “บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม” (Antisocial Personality Disorder) อีกด้วย ศาลตัดสินให้ โรนัลด์ เดอฟิโอ มีความผิดในข้อหา “ฆาตกรรมโดยเจตนาแต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน” second-degree murder มีโทษจำคุกตลอดชีวิต ตลอดเวลาที่ถูกคุมขัง โรนัลด์ยื่นอุทธรณ์หลายครั้ง แต่คำร้องก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง


แม้ว่านี่เป็นคดีสะเทือนขวัญ แต่ประเด็นที่ผู้คนสนใจและร่ำลือกัน กลับไม่ใช่การฆาตกรรมยกครัวของโรนัลด์ เดอฟิโอ แต่เป็นวิญญาณอาฆาตของครอบครัวเดอฟิโอ ที่รังควาญครอบครัวใหม่ที่ย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนี้ ครอบครัวที่โชคร้ายคือตระกูลลัตซ์ ที่เข้ามาอยู่ในเดือนธันวาคม 1975 พวกเขารู้เรื่องฆาตกรรมในบ้านนี้ แต่ราคาบ้านที่ถูกมากทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อ พอเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก็เจอเรื่องขนหัวลุกต่าง ๆ นานา เช่นพวกเขาต่างสะดุ้งตื่นขึ้นตอนตี 03:15 เวลาที่เกิดเหตุฆาตกรรมยกครัว มีแมลงวันชุกชุมในบ้าน หลายคนนอนฝันร้าย มีรอยฟกช้ำบนร่างกายที่ไม่ทราบสาเหตุ และหนักสุดคือมองเห็นสิ่งของในบ้านลอยได้ วิญญาณรบกวนรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงคืนวันที่ 14 มกราคม 1976 ทั้งครอบครัวก็ทนไม่ได้ต้องวิ่งกรูกันออกจากบ้านมากลางดึก แล้วไม่กลับเข้าไปอีกเลย ทั้งครอบครัวไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น
ครอบครัวลัตซ์ได้เล่าประสบการณ์ให้กับ เจย์ แอนสัน นักเขียนที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นนิยายขายดีชื่อ The Amityville Horror ด้วยประสบการณ์ผีหลอกที่ฟังดูเหนือจริงกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่ได้เคยได้ยินฟังมา ถึงขั้นมีการนำสมาชิกในครอบครัวเข้าพิสูจน์ด้วยเครื่องจับเท็จ ซึ่งผลออกมาพวกเขาก็ผ่านกันหมด สมาชิกครอบครัวลัตช์ได้อ่านนิยายของ เจย์ แอนสัน แล้ว พวกเขาก็ยืนยันว่าเนื้อหาในนิยายแทบทั้งหมดตรงตามความเป็นจริง


นิยายของ เจย์ แอนสัน ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ The Amityville Horror ชื่อเดียวกับนิยาย ออกฉายในปี 1979 หนังประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้มีภาคต่อตามมาอีกหลายภาค และถูกรีเมกในปี 2005 ในชื่อเดียวกัน The Amityville Horror แต่เวอร์ชันนี้ไม่ประสบความสำเร็จนัก ก็เลยจอดอยู่แค่ภาคเดียว
7.The Snowtown Murders


เป็นอีกคดีสะเทือนขวัญในประเทศออสเตรเลีย เป็นคดีที่มีเหยื่อถูกฆ่าตายมากที่สุดในจำนวน 7 รายชื่อนี้แล้ว ยังเป็นคดีที่มีการไต่สวนกินเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย ฆาตกรในคดีนี้ได้ฉายาว่า The Snowtown Murders ตั้งตามชื่อเมืองที่เกิดเหตุ Snowtown ฆาตกรมีด้วยกัน 3 คน คือ จอห์น บันติง, โรเบิร์ต แวกเนอร์ และ เจมส์ วลาสซาคิส ส่วนสมาชิกคนที่ 4 คือ มาร์ก เฮย์ดอน นั้นไม่ได้ลงมือสังหารแต่มาช่วยเพื่อนอำพรางศพด้วยการนำศพใส่ในถังพลาสติกขนาดใหญ่ ทำให้พวกเขามีอีกฉายาว่า bodies in barrels murders
คดีเริ่มต้นขึ้นในเดือนปี 1994 เมื่อมีผู้พบศพ คลินตัน ทรีไซ์ ในเมืองโลเวอร์ ไลต์ เป็นคดีปริศนาที่ไร้ร่องรอยฆาตกรผู้ลงมือ คดีไม่มีความคืบหน้าจนกระทั่งปี 1997 พบศพของโธมัส เทรวิลยาน ที่ถูกจัดฉากให้ดูเหมือนฆ่าตัวตาย แต่ตำรวจเจอร่องรอยที่รู้สึกว่าคล้ายคลึงกับคดีของ คลินตัน ทรีไซส์ เกิดข้อสันนิษฐานว่า 2 คดีนี้น่าจะเกี่ยวโยงกัน แต่ก็ยังคงไม่มีเบาะแสคนร้าย จนมาถึงปี 1999 เกิดคดีการหายตัวไปของ อลิซาเบ็ธ เฮย์ดอน ที่เป็นเบาะแสชักนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปที่เมืองสโนว์ทาวน์ ที่พาไปสู่การค้นพบหลักฐานที่สุดสะพรึงเกินกว่าจะจินตนาการได้ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1999 ตำรวจตามรอยไปจนเจอถังพลาสติกใหญ่ 6 ใบถูกซุกซ่อนไว้ในห้องนิรภัยของธนาคารเก่าที่ถูกทิ้งร้าง ภายในถังทั้ง 6 นี้คือร่างที่ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ จากเหยื่อ 8 ราย


อัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้สันนิษฐานว่าเดิมทีแล้ว ศพทั้ง 8 รายนี้น่าจะถูกซุกซ่อนกันแบบกระจัดกระจายแต่เมื่อคนร้ายเริ่มระแวดระวังตัวมากขึ้น หลังรู้ว่าตำรวจเริ่มสืบสวนใกล้ตัวเข้ามาแล้ว เลยทำการย้ายศพทั้งหมดมาซุกซ่อนรวมกันไว้ที่นี่ จากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจเจอศพเพิ่มอีก 2 รายถูกฝังอยู่ในสนามหลังบ้านของ จอห์น บันติง ในเมืองเอดิเลด เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญให้ตำรวจเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 รายได้ที่บ้านของจอห์น บันติง
ส่วนแรงจูงใจในการก่อคดีฆาตกรรมนี้ยังคงไม่แน่ชัด บางทฤษฎีเชื่อว่ามาจากการบงการของนายจอห์น บันติง ที่ระบุว่าเหยื่อทุกรายนั้นเป็นพวกชอบร่วมเพศกับเด็ก หรือเป็นพวกรักร่วมเพศ เหยื่อหลายรายน่าจะถูกทรมานเป็นเวลานานก่อนถูกสังหาร แต่อีกทฤษฎีก็น่าจะเป็นเรื่องของการฉ้อฉลเพื่อหวังเงิน เพราะหลังจากสังหารเหยื่อแล้ว ฆาตกรกลุ่มนี้ได้ปลอมแปลงตัวเองให้มีภาพลักษณ์เหมือนเหยื่อ แล้วนำเอกสารประจำตัวของเหยื่อไปเบิกเงินประกันสังคมของเหยื่อมาใช้จ่ายกัน
การพิจารณาคดีเริ่มต้นในปี 2003 และกินเวลายาวนานถึง 1 ปีเต็ม ศาลพิจารณาคดีแล้วตัดสินว่า จอห์น บันติง มีความผิดข้อหาฆาตกรรมเหยื่อ 11 ราย โรเบิร์ต แวกเนอร์ มีความผิดข้อหาฆาตกรรมเหยื่อ 10 ราย ซึ่งเขารับสารภาพว่าฆาตกรรมเพียงแค่ 3 ราย เจมส์ วลาสซาคิส มีความผิดข้อหาฆาตกรรมเหยื่อ 4 ราย และมาร์ก เฮย์ดอน มีความผิดข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการฆาตกรรมเหยื่อ 5 รายซึ่งเขายอมรับสารภาพเพียงแค่ 2 ราย ศาลตัดสินให้ จอห์น บันติง รับโทษจำคุกตลอดชีวิต 11 รอบ ตามจำนวนเหยื่อที่เขาลงมือสังหารโดยไม่อนุญาตให้มีการขอทัณฑ์บน โรเบิร์ต แวกเนอร์ ได้รับโทษในทิศทางเดียวกัน จำคุกตลอดชีวิต 10 รอบ โดยไม่อนุญาตให้มีการขอทัณฑ์บน เจมส์ วลาสซาคิส จำคุกตลอดชีวิต 4 รอบ ห้ามมิให้มีการขอทัณฑ์บนในช่วงระยะ 26 ปีนับจากวันตัดสิน ส่วนมาร์ก เฮย์ดอน รับโทษจำคุก 25 ปี จะขอทัณฑ์บนได้หลังจากผ่านไป 18 ปี


คดี The Snowtown Murders ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Snowtown ออกฉายในปี 2011 เป็นหนังสัญชาติออสเตรเลีย เป็นหนังแนวอินดี้ออกฉายตามเทศกาลภาพยนตร์ เลยเป็นหนังที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก หนังได้รางวี่รางวัลไปถึง 23 รางวัลล้วนเป็นรางวัลที่ได้รับจากเทศกาลภาพยนตร์
ใครพลาดเรื่องไหนไปใน 7 คดีฆาตกรรมนี้ ลองไปหาดูกันนะครับ
อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง