หนังหลาย ๆ เรื่อง มาพร้อมเซอร์ไพรส์หนัก ๆ สำหรับผู้ชม เมื่อพล็อตมีการสับขาหลอก หรือเกิดหักมุม สถานการณ์พลิกผัน จนทำเอาช็อก บางทีก็ถึงกับเปลี่ยนแนวทางหนัง และทำให้กลายเป็นที่จดจำมาถึงทุกวันนี้ หรือเป็นหัวข้อถกเถียงตอนออกฉาย เช่น ตอนท้ายของ ‘Psycho’ ฉบับปี 1960, “ข้าคือพ่อเจ้า” ประโยคอมตะใน ‘Star Wars Episode V – The Empire Strikes Back’, ฉากจบบนฟุตปาธหน้าโรงพักของ ‘The Usual Suspect’ และ “ผมเห็นคนตายฮะ” จาก ‘The Sixth Sense’ ที่แจ้งเกิด เอ็ม. ไนต์. ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) มาจนถึงทุกวันนี้

วันนี้เราจะมาแบให้ดูว่า เมื่อศตวรรษเปลี่ยนเป็น 2000 มีหนังเรื่องไหนบ้างที่หักมุมได้เจ็บ ๆ ดูเสร็จต้องเรียกรถพยาบาลมารับเพราะหลังหัก หรือต้องสั่นศีรษะไล่ความงงงวย ในแบบที่เราจะพยายามเม้มให้ได้มากที่สุด แต่ถึงกระนั้นเรื่องไหนยังไม่ได้ชม แล้วยังอยากโดนหักหลัง กรุณาชมก่อนอ่านดีกว่า เพราะถึงเวลานั้น เสียง “กร๊อบ” มันจะได้ดังสนั่นอย่างที่ควรเป็น

ATONEMENT (2007)

ผู้กำกับ: โจ ไรต์ (Joe Wright)

ATONEMENT

เรื่องที่เห็น: เด็กหญิงวัย 13 เห็นพี่สาวตัวเองมีอะไรกับลูกชายคนดูแลบ้านที่ตัวเองปิ๊ง โดยเข้าใจว่าพี่สาวถูกปล้ำ ก่อนจะกล่าวหาว่าเขาข่มขืนลูกพี่ลูกน้องอีกคน จนฝ่ายชายติดคุก และถูกส่งไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนพี่สาวก็กลายเป็นพยาบาล เมื่อโตขึ้นเธอตัดสินใจไปหาทั้งคู่ที่ใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อขอโทษ หากทั้งสองไม่ยอมรับคำขออภัย

เรื่องที่เป็น: เด็กหญิงคนที่ว่าคือสายมโนตัวจริง ตั้งแต่คิดว่าพี่สาวถูกเขาปล้ำ แถมกล่าวหาเขาแบบไม่รู้จริงต่อ จนไม่น่าประหลาดใจ หากทั้งคู่ที่ต้องตกระกำลำบาก และพลัดพรากจากกันพักใหญ่ ถึงต่อให้ได้อยู่ร่วมกันในตอนท้าย จะไม่รับคำขอโทษจากเธอที่เติบโตเป็นนักเขียน หากจริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ได้จบแบบคู่รักสุขสม คนที่ร้าวราวคือเธอ แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่เป็นตราบาปของเธอจนต้องหาทางไถ่โทษ ที่ไม่ต่างไปจากการหลอกตัวเอง และช็อกคนดูในตอนท้ายได้อย่างร้าวราน

ARRIVAL (2016)

ผู้กำกับ: เดนิส วิลล์เนิฟ (Denis Villeneueve)

ARRIVAL

เรื่องที่เห็น: เมื่อยานอวกาศต่างดาวมาเยือนโลก ลูอิส แบงก์ส (Louise Banks) ศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์ ถูกตามตัวมาโดยกองทัพเพื่อหาทางสื่อสารกับพวกเขา โดยหวังว่าจะรับรู้เป้าหมายในการมาเยือน ขณะที่เธอเองก็มีนิมิตรถึงแฮนนาห์ (Hannah) ลูกสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกตัดสลับเข้ากับการทำงานของเธอเป็นระยะ ๆ

สิ่งที่เป็น: หนังมีตุกติกในการเล่าเรื่อง เมื่อไม่นำเสนอเหตุการณ์เป็นเส้นตรง แต่ตัดสลับข้ามเวลาไปมา ซึ่งเป็นกลเม็ดสำคัญ เมื่ออดีตอาจไม่ใช่อดีต และอนาคตอาจไม่ใช่อนาคต โดยเฉพาะเรื่องของแฮนนาห์ ซึ่งนอกจากทำให้เซอร์ไพรส์ แต่ยังไปกระทบความรู้สึกที่ผู้ชมมีต่อตัวละคร ส่วนธีมของหนังก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องสาระของการมีชีวิตและความรัก รวมถึงทำให้ลูอิสตั้งชื่อลูกว่า แฮนนาห์ ซึ่งในภาษาอังกฤษไม่ว่าจะอ่านจากข้างหน้า หรือจากข้างหลังก็เป็นคำเดียวกัน

GET OUT (2017)

ผู้กำกับ: จอร์แดน พีล (Jordan Peele)

GET OUT

เรื่องที่เห็น: หนุ่มผิวดำไปเยี่ยมบ้านแฟนสาวผิวขาว ซึ่งจะได้เจอหน้าพ่อ-แม่เธอเป็นครั้งแรก จากที่กลัว ๆ เรื่องปฏิกริยาตอบรับที่พวกเขามีให้ กลับพบอะไรที่ไม่น่าไว้ใจยิ่งกว่า ท้ายที่สุดเขาก็รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายต่อชีวิตสุด ๆ จนต้องหาทาง ‘Get Out’ อย่างชื่อหนังว่าไว้

เรื่องที่เป็น: หนังหักมุมหลายดอก ความเป็นมาของแฟนสาว ความตั้งใจในการพาหนุ่มมาบ้าน ตัวตนจริง ๆ ของผู้คน ปมเหยียดผิว แล้วก็เป็นมากกว่างานสยอง หรือระทึกขวัญ ยังเป็นงานเสียดสีสังคม มีแง่มุมไซ-ไฟ นอกจากจะสร้างชื่อให้จอร์แดน พีล หนังยังกลายเป็นลายเซ็นของเขาซ้ำ เมื่อดูจากงานต่อมา ‘Us’ (2019) ที่เล่นใหญ่มากขึ้น และเป็นหนึ่งหนังหักมุม คม ๆ ของยุค 2000 เช่นกัน แต่เพราะมาทีหลังและดูประดิษฐ์ พอต้องเลือกแค่หนึ่ง คำตอบก็คือเรื่องนี้

GONE GIRL (2014)

ผู้กำกับ: เดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher)

GONE GIRL

เรื่องที่เห็น: ครูหนุ่มแจ้งความว่าภรรยาสาวสวยหายตัวลึกลับในวันครบรอบ 5 ปีการแต่งงาน แต่ยิ่งตามหา ยิ่งสืบสาว นอกจากจะกลายเป็นเรื่องดังในสื่อ ไป ๆ มา ๆ เขากลับเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง จากพฤติกรรมฉาวในอดีต และหลักฐานชี้ชัดบางอย่าง 

เรื่องที่เป็น: ไม่ใช่แค่ครูหนุ่มไม่ใช่คนร้าย การหายตัวของเมียก็เป็นแผน แถมมีเรื่องตลบหลัง เพราะมีคนเปลี่ยนใจ จนเกิดแผนชุบตัว จนกลายเป็นตัวละครสุดแสบ ซับซ้อนทั้งความเป็นไปและแผนการณ์ ที่นอกจากเรื่องพลิกผัน ยากคาดเดา ยังเนี้ยบสมเป็นฝีมือฟินเชอร์ ที่ทำหนังต้มคนดูออกมาไม่น้อย โดยเฉพาะงานจากยุค ‘90s อย่าง ‘Seven’ (1995), ‘The Game’ (1997) และ ‘Fight Club’ (1999)

THE MIST (2007)

ผู้กำกับ: แฟรงก์ ดาราบอนต์ (Frank Darabont)

THE MIST

เรื่องที่เห็น: หลังหมอกประหลาดหนาทึกปกคลุมเมือง พ่อกับลูกชายไปติดในซูเปอร์มาร์เก็ต ร่วมกับคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง ซึ่งพอมีใครพยายามหนีออกไป ก็โดนสัตว์ประหลาดกระหายเลือดที่แฝงตัวภายใต้ม่านหมอกจัดการ ท้ายที่สุดคุณพ่อตัดสินใจนำผู้คนออกจากสถานที่แห่งนี้ เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อย ๆ  

เรื่องที่เป็น: แม้จะสร้างจากเรื่องสั้นของ สตีเฟน คิง (Stephen King) แต่ก็จบแบบแตกต่างจากตัวหนังสือ และเป็นสถานการณ์พลิกผัน มากกว่าจะหักมุมที่พล็อต และเป็นการปิดฉากแบบสิ้นหวัง เพราะหลังคนในซูเปอร์มาร์เก็ตจับรถแล่นออกมาได้ไม่นาน น้ำมันก็หมด สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดคือ จัดการกันเองเพื่อจะไม่เจอกับความโหดเหี้ยมของสัตว์ร้าย แต่พอถึงช่วงเวลาของคุณพ่อ เมฆหมอกก็จางหาย สิ่งที่เขาทำไปกลายเป็นโศกนาฏกรรม ความสูญเปล่า และความผิดพลาดครั้งสำคัญของชีวิต ที่ทำให้ผู้ชมถึงกับอึ้งอยู่กับที่นั่ง จนกระทั่งเครดิตสุดท้ายหายจากจอ

THE OTHERS (2001)

ผู้กำกับ: อเลฮานโดร อามีนาบาร์ (Alejandro Amenábar)

THE OTHERS

เรื่องที่เห็น: เกรซ สจวร์ต (Grace Stewart) คุณแม่ลูกสอง เผ้ารอสามีกลับจากไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องหาทางปกป้องลูก ๆ รวมถึงตัวเธอเอง จากวิญญาณลึกลับที่สิงสู่อยู่ในคฤหาสน์สไตล์วิกทอเรียน ที่คุกคามครอบครัวของเธออย่างหนัก

เรื่องที่เป็น: เพราะมาทีหลัง ‘The Sixth Sense’ หนังเรื่องนี้เลยถูกประเมินค่าต่ำไปกว่าความเป็นจริง ทั้งที่บทสรุปทำได้ดีเหลือเกิน ในแบบที่หากการเปิดเผยความจริงของ ‘The Sixth Sense’ ทำได้ดี เรื่องนี้ต้องใช้คำว่า ‘เยี่ยม’ เมื่อผีสางปีศาจสิงที่เห็นกลายเป็นเรื่องผิดฝาผิดข้าง ที่ทำให้ผู้ชมตาค้าง แต่ยังมีอะไรที่อึ้งกว่านั้น จากชะตากรรมอันน่าสงสารที่ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ซึ่งต้องให้เครดิตกับการเล่าเรื่องที่เนียนสนิท จนมาถึงช่วงสุดท้ายที่ผู้ชมอึ้งซ้ำอึ้งซ้อน พร้อมสะเทือนใจ

PARASITE (2019)

ผู้กำกับ: บงจุงโฮ ( Bong Joon-ho)

PARASITE

เรื่องที่เห็น: ครอบครัวคิมที่ต้องหาเช้ากินค่ำ เหมือนสามล้อถูกหวย เมื่อแผนต้มบ้านคนรวยตระกูลพัคเป็นไปด้วยดี พวกเขาเขี่ยคนงานเก่าของบ้านพัคทิ้ง แล้วเอาคนในบ้านตัวเองเสียบแทน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ แม่บ้านเก่าแก่ และในเมื่อตระกูลพัคออกไปนอกเมือง ครอบครัวคิมก็ใช้ชีวิตประหนึ่งเป็นเจ้าของบ้านกันอย่างสุดเหวี่ยง

เรื่องที่เป็น: บ้านหลังนี้มีความลับที่แม่บ้านเก่าแก่ซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งเป็นที่มาของเหตุการณ์ไม่ปกติหลาย ๆ อย่างในบ้านก่อนหน้านั้น นอกจากจะเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับผู้ชมแล้ว สิ่งที่ถูกเปิดเผยยังเปลี่ยนแนวทางของหนังจากงานเสียดสีเบา ๆ แกมอารมณ์ขัน ไปเป็นงานระทึกขวัญ ที่เสียดสีได้แสบจนเลือดซิบ ที่มีเหตุการณ์หักมุมตามมาอีกมากมาย รวมถึงความเป็นมาของสิ่งที่ถูกซุกซ่อนไว้ ซึ่งเกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับครอบครัวคิมอย่างเหลือเชื่อ

https://youtu.be/xwQGJMB4–w

THE PRESTIGE (2006)

ผู้กำกับ: คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan)

THE PRESTIGE

เรื่องที่เห็น: โรเบิร์ต (Robert) กับอัลเฟร็ด (Alfred) เป็น 2 นักมายากลคู่แข่งแห่งกรุงลอนดอนช่วงศตวรรษที่ 19 ทั้งที่เคยทำงานร่วมกัน แต่เพราะอุบัติเหตุร้ายแรงในการแสดงทำให้แตกคอกัน โดยโรเบิร์ตพยายามเอาชนะกล ‘ย้ายร่าง’ ของอัลเฟร็ดให้ได้ ซึ่งด้วยความช่วยเหลือของนิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) เขาก็ทำสำเร็จ ส่วนอัลเฟร็ดที่พยายามค้นหาความลับกลย้ายร่างของคู่่แข่ง ก็ตกเป็นนักโทษประหารในคดีฆาตกรรม ซึ่งดูเหมือนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้โรเบิร์ตคือผู้ชนะ

เรื่องที่เป็น: ไม่ต่างไปจากหนังเรื่องอื่น ๆ ของโนแลน ที่มีซับมีซ้อนหลายชั้น แบบเบาะ ๆ ก็คือความลับเรื่องกลย้ายร่างของโรเบิร์ต ซึ่งทำให้ หลังกลถูกเล่นโรเบิร์ตที่เห็นจะไม่ใช่คนเดิม ๆ อีกต่อไป ก่อนมาถึงปมสุดท้าย ที่ทำให้กลย้ายร่างของอัลเฟร็ดเป็นภารกิจแห่งชีวิต เพราะต้องมีการเสียสละชีวิตส่วนตัว ส่วนบทสรุปของเรื่อง ไม่มีใครที่ชนะ เพราะทั้งคู่ไม่มี ‘ตัวตน’ อยู่ในโลกอีกต่อไป หากยังไม่ลืม ในปี 2000 โนแลนก็เคยทำให้ผู้ชมอึ้งมาแล้ว ในหนังที่เล่าเรื่องแบบย้อนหลัง ว่าด้วยการตามหาคนฆ่าเมียของคนความจำสั้นมาก ‘Memento’

SAW (2004)

ผู้กำกับ: เจมส์ วาน (James Wan)

SAW

เรื่องที่เห็น: ชาย 2 คนตื่นขึ้นมาในห้องน้ำสกปรกๆ พร้อมถูกล่ามเอาไว้ ทั้งคู่มีเทปคาสเซ็ตต์อยู่ในกระเป๋า พื้นห้องมีศพชายคนหนึ่งกับปืนและเครื่องบันทึกเทป หลังเปิดเทปฟังทั้งคู่ก็รู้ว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของนักฆ่า ‘จิ๊กซอว์’ และต้องเล่นเกมที่มันวางเอาไว้ คนหนึ่งต้องหาทางหนีให้ได้ ส่วนอีกรายก็ต้องฆ่าอีกฝ่ายตามเวลาที่มันกำหนด ไม่งั้นภรรยาและลูกของเขาต้องถูกฆ่าแทน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นความทรมานบันเทิง ที่ถูกสานต่อมาอีกหลายภาค

เรื่องที่เป็น: นอกจากความพยายามเอาตัวรอดของทั้งสองคน จะทำได้อย่างลุ้นระทึก หนังยังมีจุดพลิกผันสำคัญถึง 2 หน ไม่ว่าจะเป็นคนที่สั่งให้พวกเขาเล่นเกม ไป ๆ มา ๆ กลับไม่ใช่คนที่พวกเขาคิด ส่วนตัวตนของจิ๊กซอว์ ซึ่งเป็นคนไข้โรคมะเร็งของหนึ่งในสองผู้เคราะห์ร้าย ก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลทั้งคู่นัก และกลายเป็นเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ผู้ชมเหวอ รวมถึงต้องถกกันว่ามันทำแบบนั้นได้ยังไง

SHUTTER ISLAND (2010)

ผู้กำกับ: มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) 

SHUTTER ISLAND

เรื่องที่เห็น: เท็ดดี้ แดเนียลส์ (Teddy Daniels) เจ้าหน้าของทางการเดินทางมาสืบสวนการหายตัวไปของคนไข้หญิงในสถานดูแลผู้ป่วยทางจิต ซึ่งมาอยู่ที่นี่เพราะฆาตกรรมลูก ๆ ของตัวเอง โดยเขาเองยังมีวาระซ่อนเร้น คือการตามหาคนไข้อีกราย แอนดรูว์ แลดดิส (Andrew Laeddis) ที่ทำให้ภรรยาของเขาต้องเสียชีวิตในกองเพลิง

เรื่องที่เป็น: นี่คือมหกรรมสมคบคิดครั้งใหญ่ เมื่อทุกอย่างเป็นเรื่องของการแสดง ที่หัวหน้าจิตแพทย์ของสถานดูแลจัดฉากขึ้น เพื่อหาทางดึงผู้ป่วยคนหนึ่งกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง หลังจากเขาฆ่าภรรยาของตัวเอง ซึ่งทำให้ลูกทั้งสามคนของเธอและเขาจมน้ำตาย แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้มาทั้งชีวิต นอกจากเรื่องนี้แล้ว สกอร์เซซียังมีงานหักมุมเด่น ๆ  อย่าง หนังออสการ์ ‘The Departed’ (2006) ซึ่งมีที่มาจากหนังเรื่อง ‘Infernal Affairs’ อีกเรื่องที่ควรหามาชม

BONUS

อย่างที่บอกไว้ในตอนต้น หนังหักมุม ภาพยนตร์หักหลัง ไม่ใช่แค่สร้างความงงงวยให้ผู้ชม แต่ยังสร้างความบันเทิงได้เป็นอย่างดี รวมถึงเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของผู้กำกับไม่น้อย ที่ทำให้หลาย ๆ คน ต้องลองสักตั้งกับหนังทางนี้ จนมีงานที่น่าลองหามาชมอีกไม่น้อย อาทิ ‘American Psycho’ (2000), ‘Donnie Darko’ (2001), ‘Oldboy’ (2003), ‘Identity’ (2003), ‘Secret Window’ (2004), ‘Gone Baby Gone’ (2007), ‘Orphan’ (2009), ‘Toy Story 3’ (2010), ‘Now You See Me’ (2013), ‘Spider-Man: Homecoming’ (2017), ‘Knives Out’ (2019) ขณะที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อหนังหักมุมยุคใหม่ เอ็ม ไนต์. ชยามาลาน ในยุค 2000 ก็ยังมีงานที่น่าสนใจ อย่าง ‘Unbreakable’ (2000) และ ‘The Village’ (2004)

อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส