ในขณะที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ยังอยู่ในสถานะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะฟื้นกลับคืนมาสู่สภาวะปกติ หรืออาจจะกู่ไม่กลับเลยก็เป็นไปได้ เพราะวัฒนธรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป ผลจากภาวะโควิด-19 แพร่ระบาด ทำให้ผู้คนที่อยู่ในช่วงกักตัวและมองเห็นว่าโรงหนังไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยเลยหันมาเสพความบันเทิงผ่านทีวีสตรีมมิงกันมากขึ้น ทำให้ตลาดนี้เติบโตกันอย่างก้าวกระโดด แชมป์เก่าอย่าง Netflix ก็ครองจำนวนสมาชิกมากที่สุดในโลก เพิ่งผ่านหลัก 200 ล้านไปเมื่อไม่นานนี้ ในขณะเดียวกันบรรดาค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่เพิ่งเบนเข็มมาลงตลาดนี้ก็พยายามไล่กวด Neflix กันอย่างหืดขึ้นคอ รายที่ดูมีภาษีที่สุดก็เห็นจะเป็น Disney+ ที่วันนี้กวาดจำนวนสมาชิกมาได้ 100 ล้านรายแล้ว แต่ก็ยังแค่ครึ่งหนึ่งของ Netflix ส่วนรายอื่น ๆ ที่มองเห็นว่านี่ขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลที่มีแต่จะมากขึ้นในอนาคตก็ยังไม่ยอมแพ้ทั้ง HBO MAX ของวอร์เนอร์ และหน้าเก่าในตลาดออนไลน์แต่หน้าใหม่ในวงการบันเทิงอย่าง Amazon prime ต่างก็มีไม้เด็ดในมือไว้เรียกความสนใจให้ผู้คนหันมาสมัครสมาชิก

จำนวนสมาชิก NETFLIX พ้นหลัก 200 ล้านคน

ปี 2020 ก้าวข้ามมาถึงปี 2021 เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของธุรกิจสตรีมมิงอย่างแท้จริง พิษจากโควิด-19 เรียกได้ว่าเป็นหายนะครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ถล่มหลาย ๆ ธุรกิจทั่วโลกในระดับที่ประเมินค่ามิได้ แต่ตรงกันข้าม ธุรกิจสตรีมมิงกับเติบโตสวนทาง โดยเฉพาะ Netflix ที่ได้อานิสงส์จากช่วงที่โรงภาพยนตร์ทั่วโลกต้องปิดกิจการ หนังฟอร์มใหญ่ไม่สามารถเข้าโรงฉายได้ หรือถ้าเข้าฉายก็มีสิทธิ์เจ๊งสูง วิกฤติยังลามไปถึงกองถ่ายหนังที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวก็ต้องเลิกกองกลับบ้าน อีกเดี๋ยวก็กลับมาถ่ายได้อีก เป็นการทำงานที่ไม่สะดวกราบรื่นเอาเสียเลย ธุรกิจสตรีมมิงจึงอาศัยช่วงเวลาทองนี้รีบสร้างผลงานใหม่ ๆ ทั้งภาพยนตร์เรื่องยาว และซีรีส์ที่น่าสนใจมาดึงดูดผู้ชมให้หันมาสมัครสมาชิกรายเดือนกันมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2021 ที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ยังไม่ฟื้นสภาพดี ผู้นำในตลาดสตรีมมิงก็งัดกลยุทธ์ออกมาดึงคนดูและหนีคู่แข่งในตลาดสตรีมมิงไปพร้อม ๆ กัน มาดูซิว่าเจ้าใหญ่ ๆ มีกลยุทธ์อะไรกันบ้างโดยเฉพาะ Netflix แชมป์เก่า และ Disney+ ที่พยายามไล่กวดอย่างสุดชีวิต


Netflix ควักทุนสร้างมหาศาลถึง 17,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างหนังและซีรีส์เรื่องใหม่ในปี 2021

ข่าวนี้เปิดเผยมาจากบริษัท Netflix เอง ในส่วนหนึ่งของการรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรก แม้ว่าจำนวนสมาชิกใหม่จะไม่เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ตาม โดยเฉพาะอัตราสมาชิกใหม่ในสหรัฐฯ เองที่ลดน้อยลง แต่กระนั้น Netflix ก็ยังคงเดินหน้าแผนการเดิมด้วยการควักทุนสร้างจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างหนังและซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ออกมาในปี 2021 นี้

“อย่างที่เราเห็นกันในแผนภูมิอัตราการเจริญเติบใตในแต่ละสัปดาห์กันแล้วนั้น ในไตรมาสแรกเราได้อานิสงส์จากซีรีส์อย่าง ‘Bridgerton’, ‘Lupin’ และ ‘Cobra Kai’ จะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของเราจะคล้าย ๆ กับปีที่แล้ว อย่างที่เราเคยเกริ่นไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่า โปรเจกต์ที่จะเปิดกล้องในปี 2020 ก็เลื่อนมาเปิดกล้องในปี 2021 นี้ และในครึ่งปีหลังก็จะมีการกลับมาของแฟรนไชส์ใหญ่ ๆ อีกด้วย ในขณะที่การกระจายของวัคซีนที่ไม่ทั่วถึงกันในทุกมุมโลกนั้น ซึ่งเราเตรียมรับมือและเดินหน้าทำงานกันด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุดในทุก ๆ พื้นที่ ยกเว้นบราซิลและอินเดียเท่านั้น ซึ่งการทำงานกันอย่างต่อเนื่องนี้ เราจะใช้งบประมาณสูงถึง 17,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างโปรเจกต์ใหม่ ๆ ในปีนี้ และเราจะคงส่งมอบผลงานใหม่ที่หลากหลายรสชาติให้กับสมาชิกของเรา และในส่วนของผลงานที่เราสร้างเองก็จะมีมากกว่าปีที่แล้วด้วย”

Bridgerton หนึ่งในซีรีส์ที่ส่งผลให้ NETFLIX ประสบความสำเร็จในปี 2021

ตามแผนการนี้ NETFLIX ค่อนข้างจะให้น้ำหนักไปกับการสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ ที่เป็นผลงานสร้างของ NETFLIX เอง โดยเฉพาะในปี 2021 นี้จะมีมากกว่า 70 เรื่อง เฉลี่ยแล้วอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 เรื่อง มีตั้งแต่หนังดราม่าฟอร์มเล็กไปจนถึงหนังระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง ‘Army of the Dead’ ของ แช็ก ชไนเดอร์

ทาง NETFLIX ยังเล่าถึงกลยุทธ์เพิ่มเติมอีกว่า จะลงทุนเพิ่มเติมกับภาพยนตร์ท้องถิ่นในทุก ๆ พื้นที่ทั่วโลก เพื่อดึงดูดผู้ชมในประเทศนั้น ๆ หรือผู้ใช้ภาษาจำเพาะเหล่านั้น

“อีกเป้าหมายหนึ่งของเราคือการสร้างหนังที่มีเนื้อหาเฉพาะในแต่ละประเทศทั่วโลกนี้ เราให้ความสำคัญกับหนังที่ใช้ภาษาท้องถิ่นอย่างมาก และนั่นทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีในประเทศที่เป็นเจ้าของหนังอย่างมาก เราจะไม่ยอมให้อุปสรรคในเรื่องการเดินทางมาเป็นปัญหาในการทำงาน และที่ผ่านมาเรายิ่งเล็งเห็นแล้วว่าหนังในแต่ละท้องถิ่นนั้นได้กลุ่มผู้ชมจำเพาะในพื้นที่ทั่วโลกอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของเราที่ว่า เรื่องราวที่ยอดเยี่ยมคือจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ : ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะมาจากมุมไหนของโลกก็ตามแต่สุดท้ายมันจะเป็นที่รักไปทั่วทุกที่”

Space Sweepers ผลงานสร้างร่วมระหว่าง Netflix กับผุ้สร้างในเกาหลีใต้

ตัวอย่างหนังที่ NETFLIX กล่าวถึงก็อย่างเช่น ‘Below Zero’ จากสเปน, ‘Space Sweepers’ จาก เกาหลีใต้, ‘Squared Love’ จาก โปแลนด์ และ ‘Who Killed Sara? ‘ จาก เม็กซิโก ซึ่งล้วนแต่ประสบความสำเร็จ และนั่นทำให้ NETFLIX มั่นใจกับการทุ่มงบสร้างหนังใหม่มากขึ้นในทุก ๆ ปี ย้อนไปในปี 2018 NETFLIX ใช้งบในการสร้างหนังใหม่ที่ 12,000 ล้านเหรียญ และในปี 2019 ที่ 15,000 ล้านเหรียญ และเพิ่มขึ้นเป็น 17,000 ล้านเหรียญในปีนี้ เพื่อทิ้งห่างคู่แข่งรายใหญ่ ๆ อย่าง Disney+ และ HBO MAX


ดิสนีย์จับมือกับโซนี่ เซ็นสัญญามูลค่ามหาศาลเพื่อจะนำ Spider-Man และอีกหลายเรื่องลงจอ Disney+

บรรดาคู่แข่งในตลาดสตรีมมิงก็เห็นจะมีแต่ Disney+ นี่ล่ะ ที่มีศักยภาพพอจะเบียด NETFLIX ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดได้ ทั้งในด้านกำลังทรัพย์มหาศาลและจำนวนหนังมหาศาลในห้องสมุดของตัวเอง รวมถึงการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หนังและตัวละครเกินจะนับได้ที่สะสมมาตลอดเวลาอันยาวนานของบริษัท และหนึ่งในกลยุทธ์ระยะยาวที่จะสร้างหนังและทีวีซีรีส์ที่สามารถเรียกสมาชิกใหม่ ๆ เข้าสู่ Disney+ ก็คือการจับมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพอย่าง Sony Pictures ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวละครสำคัญอย่าง Spiderman การเซ็นสัญญาร่วมกันระหว่าง Disney และ Sony ในครั้งนี้ ทั้งคู่กล่าวว่านี่คือ “พันธะสัญญาสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ในประวัติศาสตร์ของทั้งสองบริษัท ซึ่งข้อตกลงในครั้งนี้แน่นอนว่าต้องรวมถึง การร่วมสร้างโปรเจกต์ใหญ่อย่าง Spider-Man และแฟรนไชส์อื่น ๆ ที่จะสตรีมมิงทาง Disney+ แต่ต้องเป็นช่วงหลังจากปี 2026 เพราะว่าโซนี่ก็เพิ่งเซ็นสัญญากับ NETFLIX ว่าให้สิทธิ์ในการสตรีมมิงหนังใหม่ที่จะออกมาตั้งแต่ปี 2022 – 2026 กับทาง NETFLIX เป็นที่แรก แต่พอพ้นกรอบเวลานั้นแล้ว สิทธิ์ในการสตรีมมิงจะย้ายมาอยู่กับ Disney+ ทั้งหมด

Jumanji แฟรนไชส์ทรงคุณค่าของโซนี่ ที่จะมาสตรีมมิงทาง Disney+

ข้อตกลงนี้ยังรวมถึงสิทธิ์ในการสตรีมมิงหนังเรื่องเด่น ๆ ในห้องสมุดหนังของโซนี่ พิคเจอร์ ทั้งหมด ตั้งแต่ Jumanji ไปจนถึง Hotel Transylvania และรวมไปถึงจักรวาลของ Spider-Man ที่โซนี่ยังคงถือสิทธิ์ในการครอบครองอยู่ แม้ว่าจะเป็นตัวละครของมาร์เวล ภายใต้ชายคาดิสนีย์เองก็ตาม การเซ็นสัญญาครั้งนี้จะส่งให้ผลให้
“ดิสนีย์กลายเป็นผู้ถือครองสิทธิ์หนังจำนวนมหาศาลในตลาดสตรีมมิง และยังเป็นผู้ถือครองคอลเล็กชันทั้งหมดของหนัง ‘Spider-Man’ และข้อตกลงนี้ยังรวมถึงการเข้าถึงห้องสมุดหนังทั้งหมดของ Hulu อีกค่ายสตรีมมิงใหญ่อีกด้วย ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้”

Spider-Man : No Way Home โปรเจกต์ใหญ่สุดของโซนี่ในปี 2021

แต่เมื่อโซนี่ได้เซ็นสัญญากับ NETFLIX ไปเมื่อเดือนก่อนนี้แล้ว ทำให้ NETFLIX ยังได้สิทธิ์ในการสตรีมมิง Spider-Man: No Way Home โปรเจกต์ใหญ่สุดที่จะออกฉายในปลายปีนี้ และ NETFLIX ยังได้สิทธิ์ในการสตรีมมิงแฟรนไชส์เด่น ๆ ของโซนี่ด้วยอย่างเช่น ‘Bad Boys’, ‘Venom’, และ ‘Jumanji’ ซึ่งเป็นคลังหนังที่ NETFLIX ต้องการอย่างมากในช่วงเวลานี้ หลังจากเพิ่งสูญเสียสิทธิ์ในการสตรีมมิงทีวีซีรีส์สุดคลาสสิกอย่าง The Office และ Friends ไปในสงครามสตรีมมิงที่ดุเดือดขึ้นทุกขณะ

มูลค่าในการเซ็นสัญญาครั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าววงในก็ประเมินมาว่าดีลนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 3,000 ล้านเหรียญ ซึ่งก็เป็นข่าวดีสำหรับสมาชิก Disney+ เพราะผลจากการเซ็นสัญญาครั้งนี้ อาจจะส่งผลให้แฟน ๆ Spider-Man ได้เห็น ทอม ฮอลแลนด์ มาร่วมทีมกับเหล่าเพื่อน ๆ ซูเปอร์ฮีโรบนจอ Disney+ ในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้

อ้างอิง

อ้างอิง