Play video

ซึ่งบุคคลหลายๆท่านนี้ ทุกคนไม่ได้เกิดที่ US. แถมยังเป็นชาวอพยพทุกคน โดยบางคนก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย บางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ได้เปลี่ยนอนาคตของตัวเองจนตอนนี้ทุกคนมีเงินนับพันล้าน และคนทั่วไปต่างรู้จักชื่อของพวกเขา และหลายๆคนต้องเคยใช้ผลงานของคนเหล่านี้อย่างแน่นอน

ที่มาของภาพ: guim

1. Sergey Brin, Co-Founder of Google

เกิดที่ Moscow, Russia โดยอพยพมาตอนอายุ 6 ขวบพร้อมครอบครัว ซึ่งได้เข้าเรียน Ph.D. ด้าน Computer science ที่ Stanford แต่พอมาเจอกับ Larry Page ก็คุยกันถูกคอ จนกระทั่งมีโปรเจ็คเปลี่ยนโลกร่วมกัน ก็เลย drop เรียนออกมาทำ Google นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันดูแลด้าน Special project เช่น Google Glass, Auto Drive และถือหุ้นของ Google อยู่ราว ๆ 16% และมีสินทรัพย์ประมาณ  24,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

 

ที่มาของภาพ : Wikipedia

Vinod Dham (วีโนด ธรรม) – บิดาแห่ง Pentium

เกิดที่เมืองพูเน่ (Pune) ประเทศ India บริเวณรัฐมหารัชตะ ตอนกลางของอินเดีย ได้อพยพมาตอน 1975 ในฐานะ นักศึกษาวิศวะกรรม ด้วยเงินติดตัวในกระเป๋า แค่ 8$ และดิ้นรนจนกู้ยืมจากมหาลัยเพื่อศึกษาและใช้ชีวิตต่อ จนกระทั่งเรียนจบจาก University of Cincinnati และมาทำงานใน Intel ซึ่งเขาได้เป็น 1 ในผู้ที่ช่วย intel พัฒนา Chip Flash Memory ตัวแรกของโลก หลังจากนั้นได้ออกมารับตำแหน่ง CEO ของ Silicon Spice และขายบริษัทไปในปี 2002 ราคา 1.2 ล้าน$ ในปัจจุบันเป็น venture capitalist (ได้สัญชาติอเมริกันไปแล้ว)

ที่มาของภาพ: coacheshotseat

Andrew Grove, 1 ในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Intel ร่วมกับ Robert Noyce และ Gordon Moore

เกิดที่ประเทศ Hungary ซึ่งเขาได้มีประวัติชีวิตโชกโชนมาก เพราะเขาใช้ชีวิตด้วยการหลบหนีจาก นาซี ด้วยประวัติและหลักฐานปลอม ในช่วงปี 1956 จนข้ามไปถึง Austria จนกระทั่งมาถึง America ในปี 1957 ซึ่งเขาแทบจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่ก็ดิ้นรนทำงานเป็นเด็กเก็บโต๊ะไป เรียนเคมีไป ที่มหาลัย New York จนในที่สุดเกรดตอนจบ Eng ดีขึ้นจนได้ระดับ “ค่าเฉลี่ย” วิชาอื่นก็ได้คะแนนเยี่ยม จนเมื่อปี 1968 เขาก็ได้ย้ายไป California แล้วก็ตั้ง Intel ร่วมกับ Robert Noyce และ Gordon Moore นั่นเอง ปัจจุบันเขาได้มีสินทรัพย์ราว ๆ 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

ที่มาของภาพ: bgr

Jan Koum, Co-Founder of WhatsApp

เกิดใน Ukraine และได้มาถึง USA ตอนอายุ 16 ปีพร้อมครอบครัว โดยดำรงชีวิตอยู่ด้วย “คูปอง อาหารที่ทางรัฐจัดให้” และในช่วงที่แม่ป่วยหนัก เขาได้รับความช่วยเหลือจากทางรัฐ ทำให้ Jan ได้รับการศึกษาต่อจนจบ และได้สร้างแอพเปลี่ยนโลก WhatsApp ที่มีผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งโดน Facebook ซื้อไปในราคา 19,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

ที่มาของภาพ : inc

Elon Musk, CEO of SpaceX and Tesla Motors, and Founder of Paypal

เกิดที่ Pretoria, South Africa และได้ย้ายมา Canada ในปี 1988 หลังจากนั้นก็ย้ายเข้ามาใน US ต่อ จนกระทั่งเปลี่ยนสัญชาติในปี 2002 ในก้าวแรกของเขาเริ่มจากการขาย บริษัท software ของตัวเองที่ชื่อ zip2 ให้กับ compaq ในราคา 22 ล้าน $ เมื่อปี 1999 (ตอนนั้นยังไม่ได้สัญชาติ) แล้วหลังจากนั้นก็หันมาทำ paypal  แล้วก็ขาย paypal ให้ eBay ในราคา 165 ล้าน $ ในปี 2002 และยังไม่หยุดแค่นี้ เพราะเขาได้หันไปตั้งบริษัท Tesla ต่อ จนกระทั่งมีสินทรัพย์ทั้งสิ้นกว่า 67,000 ล้าน$

ที่มาของภาพ: thelinkpaper.ca

Indra Nooyi, CEO of Pepsi Co.

เกิดที่ madras, India หลังจากนั้นได้เดินทางมาที่สหรัฐเพื่อไปเรียนต่อที่ Yale จนกระทั่งจบการศึกษาในสาขา management ปี 1978 แต่ชีวิตเธอก็ไม่สวยนัก เพราะ อยู่ได้ด้วยเงินช่วยเหลือจากทาง Yale และพอตกกลางคืนก็ต้องเดินทางไปทำงานเป็น Receptionist อีก เธอถึงขนาดเคยไปสัมภาษณ์งาน ทั้งที่ใส่ชุด สาหรี่ นั่นแหละ เพราไม่มีเงินจะซื้อ suite หรือ เสื้อคลุมพอเรียนจบก็ไปทำงานกับ Boston Consulting Group แล้วก็ย้ายไปทำ pepsico ใน ปี 1994 ซึ่งช่วงที่อยู่กับ Pepsi เธอก็ได้รับหน้าที่สำคัญหลายอย่าง และ ทำให้ภาพลักษณ์ และการดำเนินการเปลี่ยนไป กระชับขึ้น และเธอยังมีส่วนร่วมพัฒนาองค์กรส่วนภูมิภาคอื่น รวมถึง product อื่น ๆ เช่น Quaker, Tropicana อีกด้วย

เธอเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Pepsi ในปี 2001 ซึ่งรายได้ในปัจจุบันราว ๆ 17 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ต่อปี

ที่มาของภาพ: wikimedia

Jerry Yang, Founder of Yahoo

เกิดที่ Taipei, Taiwan ในปี 1968 ซึ่งพอเขาเกิดได้สองปี พ่อของเขาก็เสีย จนกระทั่งตอน 8 ขวบ ทางครอบครัวก็ได้ย้ายไป San jose, Calif ซึ่งตอนที่มาถึง US เขายังคนพูดได้แค่คำว่า “รองเท้า” (shoe) แต่สุดท้ายภาษาก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเขามีผลการเรียนดีเยี่ยม จนได้รับการศึกษาต่อที่ Stanford และเรียนจบในปี 1990 และ 5 ปีหลังเรียนจบ เขาก็ได้ก่อตั้ง yahoo จนสร้างรายได้ 15,000 ล้าน$ และได้ถอนตัวออกจาก yahoo ในปี 2012

ที่มา: businessinsider