สืบเนื่องจากเหตุการณ์กราดยิงสองครั้งล่าสุดอย่างห้างสรรพสินค้าวอลมาร์ต เมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัส ที่มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 20 ราย (และบาดเจ็บ 26 ราย) และ ณ เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอที่มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 10 ราย ก็ได้ทำให้ Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมากล่าวโทษวิดีโอเกมอีกครั้งว่าเป็นสาเหตุของพฤติกรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ 

ซึ่ง Trump ได้ให้ความคิดเห็นว่า “พวกเราต้องหยุดเสพความรุนแรงในสังคม และไม่ควรเห็นว่าเกมที่มีความรุนแรงเป็นเรื่องปกติที่มองข้ามได้” เช่นเดียวกันกับ Kevin McCarthy (เควิน แมคคาที) ส.ส. พรรค Replublican ได้ให้สัมภาษณ์รายการข่าว ไปในทิศทางเดียวกันกับประธานาธิบดีทรัมปว่า “การที่ตัวเกมมีการใช้อาวุธเป็นปืนและใช้ยิงผู้อื่น นั่นเท่ากับเรากำลังลดความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นลง รวมทั้งเป็นบ่อเกิดความรุ่นแรงในครั้งนี้ด้วย”

แต่กระนั้นทางฝั่งของแบรนด์ข่าวระดับโลกอย่าง Forbes ก็ได้นำงานวิจัยหลายตัวออกมาแย้งว่า “เกมไม่ได้ส่งผลต่อความรุนแรง” ไล่ตั้งแต่

  • Washington Post ได้เคยนำเสนองานวิจัยว่า นับตั้งแต่ช่วงปี 90 เป็นต้นไป ในขณะที่ยอดขายของเกมเติบโตขึ้น แต่เหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในวัยรุ่นกลับมีอัตราการเกิดที่น้อยลง
  • จากรายงานของหน่วยสืบราชการลับและกรมสามัญศึกษาในปี 2004 ได้ค้นพบว่า กว่าครึ่งหนึ่งของเหตุกราดยิง มีเพียง 12% ของผู้กระทำผิดที่ค้นพบว่าชอบเล่นเกมที่มีความรุนแรง
  • มหาวิทยาลับ Oxford ได้ให้ผลสรุปในงานศึกษาปี 2018 ที่ผ่านมาว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดที่เกี่ยวเนื่องกันว่าคนที่เล่นเกมจะชอบกระทำความรุนแรง

คำถาม คือมีต้นเหตุความรุนแรงอื่นๆ ที่รัฐบาลสหรัฐเลี่ยงที่จะพูดถึงเพราะเป็นผู้สนับสนุนรึเปล่า เช่นอุตสาหกรรมอาวุธ บันเทิง หรืออื่นๆ

ที่มา: Forbes

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส