เรียกได้ว่ากลายเป็นคนดังอย่างรวดเร็วเลยทีเดียวสำหรับเด็กคนนี้ เพราะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เด็กคนหนึ่งที่ชื่อ อาห์เหม็ด โมฮัมเหม็ด ผู้ที่มีอายุเพียง 14 ปี เป็นนักประดิษฐ์และอยู่ชมรมนักประดิษฐ์ของโรงเรียน สามารถสร้างนาฬิกาดิจิทัลของตัวเองออกมาได้ แต่หลังจากเขาได้นำมันไปเรียน ตัวเขากลับถูกกล่าวหาว่านาฬิกานั้นเป็นระเบิดและถูกคุณครูในโรงเรียนแจ้งความจับจนกลายเป็นเรื่องฮือฮาบนโลกโซเชียลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

obama-tweet

ที่มาของภาพ: wtvr

หลังจากที่เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกเผยแพร่ลงโลกโซเชียลไม่นานก็ได้มีผู้ให้ความสนใจและให้กำลังใจเป็นจำนวนมากตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่า เพราะอาห์เหม็ดใส่เสื่้อยืดนาซ่าวันที่ถูกจับ รวมไปถึงอาจารย์จากทั้ง MIT และ Standford ที่บอกว่า นี่คือเด็กในอุดมคติ ที่มหาวิทยาลัยของเราอยากรับเข้าเรียน และอาสาจะพาอาห์เหม็ดเดินชมห้องแล็บของมหาลัย แม้แต่ประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบาม่า ก็ยังได้เชิญอาห์เหม็ดมาทำเนียบขาวด้วยตัวเองผ่าน Twitter ดังนี้

“นาฬิกาเจ๋งดีนี่ อาห์เหม็ด นายต้องการนำมันมาโชว์ที่ทำเนียบขาวไหม ? พวกเราควรให้กำลังใจเด็ก ๆ ที่มีความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์เช่นนาย เพราะมันจะช่วยให้อเมริกาดูเจ๋งขึ้นมาก”

หรือมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวของอาห์เหม็ดบน Facebook ส่วนตัวของเขาเช่นกัน

“พวกคุณน่าจะได้เห็นเรื่องราวที่เกียวกับอาห์เหม็ด เด็กอายุ 14 ปีในรัฐฯ เทคซัสผู้สร้างนาฬิกาดิจิทัล ได้ถูกจับกุมเมื่อเขานำมันไปที่โรงเรียน การมีจุดมุ่งหมายและความสามารถที่จะสร้างสิ่งต่าง ๆ ที่ดูเจ๋งควรที่จะนำไปสู่การถูกชื่นชม ไม่ใช่การโดนจับกุม อนาคตของชาตินั้นอยู่ในมือของคนแบบอาห์เหม็ดนี่ล่ะ
‘อาห์เหม็ด’ ถ้านายอยากเดินทางมาที่สำนักงาน Facebook ผมก็ยินดีที่จะได้พบกับนาย พยายามสร้างสิ่งดี ๆ ต่อไปล่ะ”

และยังมีอีกหลาย ๆ คนที่มาให้กำลังใจอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่ ดร.เจษฏา ที่เรารู้จักเป็นอย่างดีก็โพสต์ข้อความให้กำลังใจเช่นกัน (แถมแอบแขวะประเทศเราเล็กน้อยด้วย อิอิ)

ซึ่งหลังจากที่โดนสอบปากคำอยู่หลายชั่วโมง อาห์เหม็ดก็ได้ถูกปล่อยตัวออกมา แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เราได้รู้ว่าสังคม Social นั้นมีอิทธิพลมากมายขนาดไหน เพราะถ้าหากเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นเมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว รับรองว่าเรื่องของเขาก็จะไม่ถูกกล่าวถึงกว้างขวางและไม่ทำให้เขากลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืนเช่นนี้ แถมเขาอาจจะรู้สึกเข็ดขยาดจนโลกของเราอาจต้องเสียนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ ไปอีก 1 คนก็เป็นได้..

ที่มาของภาพ: nytimes

ที่มา: wtvr | nytimes | facebook