อุปกรณ์หนึ่งที่ช่างภาพมืออาชีพโดยเฉพาะช่างภาพในสตูดิโอต้องใช้งานเสมอคือ Light Meter หรือเครื่องวัดแสงนะครับ เพื่อให้ได้ค่าแสงที่ถูกต้องยิ่งกว่าการใช้กล้องวัดแสงทั่วๆ ไป แต่ก็คงจะดีไม่น้อยถ้าสามารถทำให้สมาร์ทโฟนของเราวัดแสงและวัดค่าอื่นๆ ได้ในระดับมือโปร

Lumu Power เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เสียบกับพอร์ต Lighting ของ iPhone, iPad เพื่อวัดแสงแบบตกกระทบกับวัตถุ (Incident Light Meter) วิธีใช้คือนำโดมกลมขาวของ Lumu Power ไปอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการวัดแสงโดยหันโดมเข้าหาแหล่งกำเนิดแสง และ Lumu ก็จะแสดงการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสง ISO ที่เหมาะสมออกมาผ่านแอปในเครื่อง

Lumupower

แต่จุดเด่นของ Lumu Power คือมันสามารถวัดอุณหภูมิสีที่ถูกต้องออกมาเป็นหน่วย K พร้อมระบุสีที่เจือปนเพื่อปรับตั้งกล้องให้ได้สีที่ถูกต้องที่สุด ไม่ต้องพก Gray Card เพื่อจูน White balance เหมือนวิธีทั่วๆ ไปแล้ว นอกจากนี้ Lumu ยังสามารถวัดความสว่างของพื้นที่ออกมาเป็นหน่วย Lux ได้ด้วย

Lumu Power นั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับมืออาชีพราคาจึงค่อนข้างสูงหน่อยคือ $199 ใน Kickstarter และจะขายจริงในราคา $299 (~11,000 บาท) จ้า

ที่มา: Kickstater

Lumu2

ความรู้เสริมเกี่ยวกับเครื่องวัดแสง

เครื่องวัดแสงจะมี 2 ประเภทหลักๆ คือ

เครื่องวัดแสงแบบวัดแสงตกกระทบ (Incident Light Meter)

อย่าง Luma Power ที่วัดแสงจากแหล่งกำเนิดแสงโดย ทำให้ไม่โดนฉากหลอก เหมาะสำหรับงานละเอียดที่ต้องการความแม่นยำของแสง และมีเวลาในการถ่าย เพราะต้องเอาเครื่องวัดแสงเข้าไปอยู่หน้าตัวแบบเพื่อวัดแสง

เครื่องวัดแสงแบบวัดแสงสะท้อน (Reflect Light Meter)

เป็นเครื่องวัดแสงที่ติดตั้งอยู่ในกล้องถ่ายรูป ทำงานโดยการวัดแสงที่สะท้อนมาจากวัตถุ ซึ่งทำให้ไม่แม่นยำเท่ากับ Incident เพราะไม่ได้วัดแสงจากแหล่งกำเนิดโดยตรง (หลายคนอาจจะเจอสถานการณ์ถ่ายฉากที่มีสีดำเยอะๆ เช่นถ่ายผู้ชายในชุดสูท หรือถ่ายแบบหน้าฉากหลังสีเข้ม ภาพจะสว่างกว่าปกติ หรือถ่ายแบบในชุดสีขาว แต่ภาพที่ได้กลับออกมามืดกว่าปกติ ก็เพราะว่ากล้องโดนฉากหลอก) แต่ข้อดีคือสะดวก สามารถวัดแสงถ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าไปชิดกับตัวแบบ