วีโว่ประเทศไทยได้ฤกษ์เปิดตัว VIVO V15 และ V15Pro ชูจุดเด่นที่มีกล้องหน้าแบบป๊อปอัป กล้องหลังสามตัว หน้าจอไร้ขอบ มาพร้อมระบบ AI ในการปรับแต่งภาพได้อย่างใจนึก

สเปคคร่าวๆ ของสมาร์ทโฟนในซีรีส์นี้ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลายจุด โดยเริ่มต้นที่น้องเล็กอย่าง VIVO V15 ก่อน

  • ใช้ซีพียูของมีเดียเทค MTK P70 2.1GHz
  • มาพร้อมแรม 6 GB
  • หน่วยความจำ 128 GB

ส่วนรุ่นใหญ่อย่าง V15Pro

  • ใช้ซีพียู SnapDragon 676AIE Octa-Core
  • พร้อมแรม 8 GB
  • หน่วยความจำ 128 GB

หน้าจอของรุ่น V15 จะใช้หน้าจอแบบ FHD+ ขนาด 6.53 นิ้ว ต่างจากรุ่น V15Pro ที่ใช้หน้าจอ Sper AMOLED แต่ขนาดเล็กลงหน่อยนึง เพียง 6.39 นิ้ว ความจุของแบตเตอรี่ก็ต่างกันอีกด้วย รุ่น V15Pro ให้แบตเตอรี่ขนาด 3,700 mAh ส่วนรุ่น V15 ใส่แบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh ทั้งสองรุ่นสามารถใส่ MicroSD เพิ่มได้มากถึง 256 GB และรองรับการใช้งานทั้งสองซิม

ไฮไลท์ที่หลายต่อหลายคนต่างติดตามในการแถลงเปิดตัวครั้งนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของกล้อง เพราะในซีรีส์นี้มีกล้องรวมกันถึงสี่ตัว แบ่งออกเป็นกล้องหลัง 3 ตัว และกล้องหน้า 1 ตัว

กล้องหน้าที่เลื่อนขึ้นอัตโนมัติ

จากความสำเร็จและกระแสการตอบรับของกล้องหน้าแบบป๊อปอัปเบื่อนขึ้นอัตโนมัติ ของ VIVO Nex สมาร์ทโฟนตัวแรกของวีโว่ที่หันมาเล่นลูกเล่นดังกล่าวนี้ โดยเลื่อนขึ้นทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังในครั้งเดียวกัน คราวนี้กับ V15 Series ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งาน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหน้าจอของรุ่นนี้ถึงไร้ขอบและไม่มีรูของกล้องหน้าปรากฎให้เห็นเลย ในส่วนของกล้องหน้านั้นมีความละเอียดมากถึง 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F/2.0

ส่วนที่สามารถป๊อปอัปขึ้นลงได้นั้น ทางวีโว่ได้ทำการทดสอบพร้อมการันตีว่าสามารถเลื่อนขึ้น – ลงได้มากถึง 300,000 ครั้ง หรือเปรียบเทียบให้เห็นง่ายกว่าเดิม ถ้าเราเปิดกล้องหน้าเพื่อถ่ายภาพวันละ 100 ครั้ง จะสามารถใช้งานกล้องหน้าได้นานถึง 8 ปี (ซึ่งใน VIVO Nex ก็มีการการันตีในตัวเลขจำนวนเดียวกัน)

กล้องหลัง 3 ตัว ที่ทำงานแตกต่างกัน

นอกจากกล้องหน้าที่เลื่อนขึ้นลงและมีความคมชัดมากแล้ว ในซีรีส์นี้ มีกล้องหลังให้มากถึงสามตัว โดยที่แต่ละตัวทำงานแตกต่างกันออกไป แต่แน่นอน… ความละเอียดที่ให้มาในทั้งสองรุ่นก็ไม่เท่ากันเสียด้วย โดยทั้งสองรุ่นจะใช้กล้อง AI Super Wide-Angle ขนาด 8 ล้านพิกเซล ให้มุมกว้างมากถึง 120 องศา และ Depth Camera ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล แต่กล้องหลักนั้นมีความแตกต่างกัน ในรุ่น V15Pro จะให้กล้องหลังที่เป็นกล้องหลักคมชัดในความละเอียด 48 ล้านพิกเซล Quad Pixel Sensor ส่วนรุ่น V15 ใช้กล้องหลักที่มีความละเอียด 24 ล้านพิกเซล Photosensitive Units (ซึ่งจริงๆ คมชัดแค่ 12 ล้านพิกเซล)

AI Body Shaping: หุ่นดีทันใจภายในไม่กี่จิ้ม

ฟีเจอร์หนึ่งที่มาพร้อมกับกล้องที่เล่นเรียกเสียงฮือฮาภายในงานเปิดตัวก็คือ ฟีเจอร์ AI Body Shaping ทีให้คุณสามารถปรับแต่งภาพถ่ายที่เพิ่งถ่ายมา หรือถ่ายไว้นานแล้ว หรือจะถ่ายมาในรูปแบบวิดีโอก็สามารถปรับแต่งได้ โดยปรับแต่งในส่วนของสัดส่วนร่างกาย ศีรษะ ช่วงไหล่ รอบเอว ต้นขา และท่อนขา ใครที่ถ่ายรูปออกมาแล้วดูว่าจะไม่สมสัดส่วน สามารถแก้ได้ภายในไม่กี่จิ้ม และจะดูดียิ่งกว่าเดิม

สำหรับสายเกมเมอร์ ในรุ่น V15Pro ยังมีการอัปเกรดเกมโหมด 5.0 ที่มาพร้อมกับ Competition Mode โฉมใหม่ ที่จัดสรรปันส่วนทรัพยากรระบบเพื่อจัดลำดับความสำคัญของเพอร์ฟอร์แมนซ์เกม และทวินเทอร์โบที่ช่วยลดปัญหาภาพกระตุกได้มากถึง 300% และทำให้เกมไหลลื่นแบบสุดๆ รวมถึงปรับขนาดแถบแสดงสถานะบนหน้าจอให้มีขนาดที่บางลงกว่าเดิม ทำให้เห็นภาพโดยรวมของเกมได้มากขึ้นกว่าเดิม และไม่ถูกบดบังจนเสียสมาธิ

แถบแสดงสถานะที่ปรับให้บางลงระหว่างเล่นเกม

นอกเหนือจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังรองรับการชาร์จแบบ Fast Charge ชาร์จแบตให้ได้ระดับ 1/4 ของแบตเตอรี่ทั้งหมดได้ภายใน 15 นาที (แต่สายชาร์จและพอร์ตเชื่อมต่อมาในรูปแบบ Micro USB), บลูทูธ 5.0, WiFi Dual Band (2.4 GHz และ 5 GHz) สามารถสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอเพื่อเข้าสู่การใช้งานของเครื่อง และยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 9 ครอบด้วย Funtouch OS 9 ที่ปรับปรุงและพัฒนาหน้าตาการใช้งานให้ดีกว่าเดิม

ในส่วนของราคานั้น VIVO V15Pro จำหน่ายในราคา 14,999 บาท มีสองสีให้เลือกคือ Topaz Blue ( น้ำเงิน-ฟ้า ) และ Coral Red ( แดง-ส้ม ) ส่วน VIVO V15 จำหน่ายราคา 10,999 บาท มีสี Topaz Blue ( น้ำเงิน-ฟ้า ) และ Glamour Red ( แดง ) ทั้งนี้ วีโว่เปิดให้ผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนและสั่งจองล่วงหน้าได้ โดยมีระยะเวลาดังต่อไปนี้

  • VIVO V15Pro เปิดให้​ Pre-order ถึงวันที่​ 8​ มีนาคม​ เริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการ วันที่​ 9​ มีนาคม
  • VIVO V15​ เปิดให้​ Pre-order วันที่​ 16 -​ 27 มีนาคม​ วางจำหน่ายวันที่​ 28 มีนาคม เป็นต้นไป

และพิเศษ สำหรับผู้ที่สั่งจอง VIVO V15Pro กับทาง VIVO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายของทางวีโว่ สามารถรับสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่ทางวีโว่พร้อมมอบให้ อาทิ VIVO VIP Card ที่ให้การรับประกันเครื่องนานถึง 24 เดือน และสามารถเปลี่ยนหน้าจอได้ไม่จำกัดจำนวน 1 ปี, Executive Gift Set มูลค่า 1,099 บาท, Songkran Gift Set มูลค่า 1,199 บาท และจองเครื่องโดยจ่ายเงินมัดจำแค่เพียง 500 บาท !!!

สำหรับท่านใดที่สนใจและอยากทดลองใช้งานจริงก่อนตัดสินใจ สามารถไปได้ที่ VIVO Brand Shop, ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย หรือผู้ให้บริการเครือข่ายในห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าทั่วไทย

หมายเหตุ: ลูกค้าจ่ายค่ามัดจำในการจองเพียง 500 บาท พร้อมทั้งกรอกรายละเอียดการจองและตรวจสอบการจองให้ครบถ้วน หากเกิดข้อผิดพลาดจากตัวผู้จองเอง ทางบริษัท วีโว่ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ในทุกรณี และต้องนำใบการจอง พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมารับสินค้า พร้อมทั้งชำระค่าส่วนต่างในวันรับเครื่อง โดยสามารถรับเครื่อง Vivo V15Pro ในสาขาที่ทำการจองเท่านั้น มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ในการรับของแถม พร้อมทั้งสงวนสิทธิ์ในการคืนค่ามัดจำในทุกกรณี รับเครื่องได้ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม เป็นต้นไป