สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Apple ได้แสดงความคิดเห็นจากสถานการณ์ของสงครามการค้าที่เกิดขึ้นและยังคงตึงเครียดเวลานี้ว่า ในระยะยาวนอกจากไม่ส่งผลดีต่อบริษัทไอทีอเมริกันแล้ว ยังส่งผลด้านลบกับเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนซึ่งรวมทั้ง iPhone และ iPad รวมทั้งผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ซึ่งถูกผลิตในจีนนั้นจะทำให้ Apple เสียเปรียบการแข่งขันในตลาดโลก

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 25% นั้นไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับภาษี 25% เต็ม ๆ แต่ในทางกลับกันเจ้าของผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการนั้นต่างหากที่ต้องแบกรับภาษีที่เพิ่มขึ้นเอง อย่าง Apple นั้นต้องยอมวางขายเคส iPhone ในราคาเดิม แต่ก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น 25% ด้วย นั่นเท่ากับว่าต้นทุนเพิ่มขึ้น กำไรต่อชิ้นก็จะลดลง และหากบริษัทไอทีชั้นนำของสหรัฐฯ มีรายได้ลดลง ก็จะส่งผลไปถึงภาคเศรษฐกิจในภาพใหญ่คือ รัฐฯ ต้องอัดฉีดเงินเข้ามามากขึ้น

นอกจากนี้ การขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 25% จะทำให้ iPhone XR มีราคาแพงขึ้น 160 ดอลลาร์ หรือประมาณ 5 พันบาท (Katy Huberty นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley) และแม้ในเวลานี้ Foxconn ซัพพลายเออร์หลักของ Apple จะพร้อมย้ายฐานการผลิตนอกจีน แต่ด้วยศักยภาพนั้นก็ยังห่างกับโรงงานผลิตในจีนอยู่มาก และคาดว่าต้องใช้เวลากว่า 1-2 ปีจึงจะสามารถเซตการผลิตให้ได้ในสเกลเดียวกับโรงงานในจีนตอนนี้ นั่นจึงทำให้มีรายงานว่า Apple และบริษัทไอทีอเมริกันหลายราย เริ่มส่งเสียงกดดันเรียกร้องให้ Donald Trump หาข้อยุติสงครามการค้าให้เร็วที่สุด

อ้างอิง