Dark Mode หรือโหมดมืด เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ยอดฮิตในปีนี้ก็ว่าได้ ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ต่างเพิ่มการรองรับการใช้งานในโหมดมืด และเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้ง Apple และ Google ต่างประกาศรองรับฟีเจอร์นี้ในระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ iOS 13 และ Android 10

วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกันว่า ทำไมถึงต้องใช้ Dark Mode?? ใช้แล้วดีตรงไหน?? ดีกว่าโหมดปกติอย่างไร?? ไปดูกัน

ล่าสุดมีช่อง YouTube ช่องหนึ่ง PhoneBuff ได้ทำการทดสอบความแตกต่างระหว่างการใช้ Dark Mode และ Light Mode ในสมาร์ตโฟนรุ่นเดียวกัน โดยแขนกลของหุ่นยนต์ที่ถูกวางโปรแกรมไว้ให้ทำสิ่งเดียวกัน ในระยะเวลาเดียวกัน

สมาร์ตโฟนรุ่นที่นำมาทดสอบนั้นคือ iPhone XS บนระบบปฏิบัติการ iOS 13 กับการใช้แอปต่าง ๆ ที่รองรับการใช้งาน Dark Mode เช่น แอปข้อความ, Twitter, YouTube และ Google Maps

Play video

จากการทดสอบในแต่ละแอประหว่าง Dark Mode และ Light Mode จะเห็นว่าสมาร์ตโฟนในขณะที่ใช้ Dark Mode อยู่ สามารถใช้งานได้นานกว่า Light Mode อยู่พอสมควร

การทดสอบ Dark Mode และ Light Mode

ซ้าย : Dark Mode ขวา : Light Mode

สมาร์ตโฟนใน Light Mode แบตเตอรี่หมด ในขณะที่สมาร์ตโฟนใน Dark Mode เหลือประมาณ 30%

กราฟแบตเตอรี่ระหว่าง Dark Mode และ Light Mode

สิ่งที่สำคัญที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ Dark Mode และ Light Mode ต่างกันได้อย่างนี้ จะใช้ได้บนสมาร์ตโฟนที่ใช้จอ OLED เท่านั้น!! เช่น

  • iPhone 11 Pro / Max
  • iPhone XS / Max
  • iPhone X
  • Galaxy S10 / Note 10
  • Pixel 3 / 4
  • OnePlus 7 / 7T
  • Huawei P30 / Mate 20

สุดท้ายนี้ การใช้ Dark Mode หรือโหมดมืด บนสมาร์ตโฟนที่ใช้จอ OLED ก็จะสามารถช่วยประหยัดแบตเตอรี่และยืดระยะเวลาการใช้งานสมาร์ตโฟนไปได้อีกระยะนึง

ที่มา : PhoneBuff, 9TO5Mac

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส