ปัจจุบันอุตสาหกรรมแฟชั่นได้หันมาใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ  จากสถิติพบว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นก่อให้เกิดน้ำเสีย 20% และปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นปริมาณ 10% ของโลก

ผลกระทบส่วนใหญ่เกิดจากขั้นตอนการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิต ซึ่งแบรนด์สินค้าไม่ได้ให้ความสนใจ จึงเป็นปัญหาระดับอุตสาหกรรม องค์กรและแบรนด์สินค้าจำนวนมากได้เริ่มพยายามที่จะรวบรวมและค้นหาข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่ดียิ่งขึ้น

หลังจากที่ Google ได้ร่วมงานกับ Current Global  ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมที่ช่วยผลักดันให้แบรนด์สินค้าแฟชั่นก้าวไปสู่ความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีที่จำเป็น  และเห็นว่า Google จะสามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหานี้ โดยใช้ระบบคลาวด์ในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล และ

Google ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการเริ่มทดลองที่งานประชุมสุดยอด Copenhagen Fashion Summit ซึ่งเป็นงานเพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมแฟชั่น  และ Google จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับ สเตลล่า แมคคาร์ทนีย์ เพื่อให้การเริ่มทดลองนี้ชัดเจนขึ้น

ทั้งนี้แบรนด์สินค้าของ สเตลลา แมคคาร์ทนีย์ ได้เริ่มและเป็นผู้นำอุตสาหกรรมแฟชั่นสู่ความยั่งยืน โดยช่วยเผยแพร่กฎบัตรสหประชาชาติด้านอุตสาหกรรมแฟชั่นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เปิดตัวโครงการ Stella McCartney Cares Green ซึ่งเป็นอีกแขนงหนึ่งของมูลนิธิสเตลล่า แมคคาร์ทนีย์ เพื่อรณรงค์เรื่องความยั่งยืนและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Google หวังว่าการทำงานร่วมกันในโครงการนำร่องนี้ จะช่วยให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์เพื่อให้อุตสาหกรรมนำข้อมูลปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สเตลล่า แมคคาร์ทนีย์ กล่าวว่า “หัวใจสำคัญในการดำเนินงานของ องค์กรสเตลล่า แมคคาร์ทนีย์ คือความมุ่งมั่นที่จะหาหนทางสู่ความยั่งยืนและความรับผิดชอบในด้านแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง เราพยายามอย่างสุดความสามารถ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็นับได้ว่าเราเป็นผู้เปิดประเด็นที่ไม่เคยมีใครได้กล่าวถึงมาก่อนในประวัติศาสตร์วงการแฟชั่น”   

สิ่งแรกที่ Google จะเริ่มทำ คือการสร้างเครื่องมือที่ใช้กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลและทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจากข้อมูลบน กูเกิล คลาวด์ เพื่อให้แบรนด์สินค้าต่าง ๆ เห็นห่วงโซ่อุปทานของแบรนด์ตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับการผลิตวัตถุดิบ

โดยที่จะเริ่มจากเส้นใยฝ้ายและวิสโคสด้วยการพิจารณาจากขนาดในการผลิต ความง่ายในการหาข้อมูล และผลกระทบของวัสดุสองชนิดนี้ โดยมีการใช้เส้นใยฝ้ายในอุตสาหกรรมแฟชั่นถึง 25% ของเส้นใยทั้งหมด และส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำและยาปราบศัตรูพืช ส่วนการผลิตเส้นใยวิสโคส แม้จะมีขนาดเล็กกว่าแต่กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น และมีความเชื่อมโยงไปสู่การตัดไม้ทำลายป่า (บางชนิดถึงขั้นเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์)

โครงการนำร่องนี้จะช่วยให้ Google สามารถทำการทดสอบความมีประสิทธิผลของเครื่องมือกับวัตถุดิบที่ต่างกัน เพื่อสร้างความเป็นไปได้ในการต่อยอดไปสู่การนำไปใช้กับสิ่งทอหลัก ๆ ที่หลากหลายมากขึ้นในตลาดต่อไป Google ได้วางแผนที่จะรวมเอาแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ช่วยให้บริษัทสามารถนำไปใช้ในการวัดผลกระทบจากวัตถุดิบของตนที่สัมพันธ์กับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมสำคัญ ๆ เช่น มลภาวะทางอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ที่ดิน และความขาดแคลนน้ำ ซึ่งไม่ได้มุ่งที่จะบ่งชี้ผลกระทบจากการผลิตวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังต้องการเปรียบเทียบผลกระทบเหล่านี้ในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ทำการผลิตด้วย

และนี่เป็นขั้นตอนแรกในการริเริ่มทดลองของ Google ที่กำลังมุ่งมั่นเดินหน้าที่จะร่วมงานกับแบรนด์สินค้าแฟชั่น, ผู้เชี่ยวชาญ, องค์กรไม่แสวงผลกำไรและภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างเครื่องมือที่เปิดให้ใช้ทั่วทุกอุตสาหกรรม และวางแผนที่จะดำเนินการร่วมมือกับองค์กรหลักอื่น ๆ ในตลาดไม่ว่าระดับใหญ่หรือเล็ก

Google หวังว่าการเริ่มทดลองของ Google จะทำให้สินค้าแฟชั่นเห็นผลกระทบจากตนเองชัดขึ้นและได้รับข้อมูลที่จะนำไปใช้ในการตัดสินใจสรรหาวัตถุดิบเพื่อความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการเพื่อความยั่งยืนของ Google ที่นี่