เจาะลึกวิสัยทัศน์และพันธกิจของแบรนด์เสียวหมี่ จาก มร.เค เอ็ม เหลียง ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียวหมี่ อินเทอร์เนชันนัล เจาะลึกวิสัยทัศน์และพันธกิจของแบรนด์เสียวหมี่ มร.เค เอ็ม ได้กล่าวเปิดถึงความเป็นมาของเสียวหมี่ว่าเสียวหมี่นั้นมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมามีจุดเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เสียวหมี่เริ่มต้นจากการพัฒนาระบบ MIUI โดยมีกลุ่มคนช่วยทดลองระบบ หรือเรียกว่า Mi Fans 100 คนแรก ที่ช่วยให้ปรับปรุงและพัฒนาจนในที่สุดก็กลายมาเป็นซอฟต์แวร์ที่ทุกคนรู้จักจนทุกวันนี้ “เสียวหมี่ให้ความสำคัญกับ Mi fans มาก ถือเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีบทบาทอย่างมากในการวางกลยุทธ์และกำหนดทิศทางของบริษัท ปัจจุบันในประเทศไทยเรามี Mi fans มากกว่าหนึ่งล้านคน และมากกว่าห้าสิบล้านคนทั่วโลก”

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วเสียวหมี่ถือเป็นเจ้าแรกที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 800 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดในเวลานั้นเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุดอย่างแท้จริง หากย้อนกลับไปขณะนั้นมือถือมีราคาค่อนข้างสูงจึงไม่เข้าถึงทุกคน แต่ที่เสียวหมี่ต้องการให้ทุกคนได้สัมผัสกับเทคโนโลยีในราคาที่ถูกลงที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ ดังนั้นจึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในราคาที่เป็นจริง และภายในระยะเวลา 3 ปี เสียวหมี่ได้กลายเป็นสมาร์ตโฟนอันดับ 1 ในประเทศจีน ไม่นานหลังจากนั้นเสียวหมี่ได้เริ่มก่อตั้งทีมต่างประเทศ เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย สเปน และสิงคโปร์

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่วางจำหน่ายอยู่ในตลาดมากกว่า 90 แห่งทั่วโลก และจากข้อมูลการจัดอันดับจาก Canalys มีการจัดส่งสมาร์ตโฟนติดอันดับหนึ่งในห้าอันดับแรกใน 54 ตลาดทั่วโลกในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 และเป็นอันดับ 1 ใน 10 ตลาด ปัจจุบันเสียวหมี่เป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและได้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม AIoT (AI + IoT) ชั้นนำของโลกโดยมีอุปกรณ์อัจฉริยะกว่า 289.5 ล้านเครื่องที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม โดยไม่รวมสมาร์ตโฟนและแล็ปท็อป

นอกจากนี้เสียวหมี่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาและวิจัยเป็นอย่างมาก เพราะว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญของธุรกิจ ปัจจุบันมีศูนย์วิจัยและพัฒนา 11 แห่งทั่วโลกซึ่งตั้งอยู่ทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนั้นเสียวหมี่ได้จัดสรรเงินกว่า 10,000 ล้านหยวนนสำหรับ R&D ในปี 2020 เพื่อการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการพัฒนาและวิจัยแล้ว เทคโนโลยี 5G ก็เป็นสิ่งที่เสียวหมี่ให้ความสำคัญมาก โดยมองว่า 5G นั้นไม่ได้หมายถึงเครือข่ายสมาร์ตโฟนที่เร็วขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ได้ตีความมันออกเป็น “ 5G + AI + IoT” (5G + AIoT) ให้เป็นซูเปอร์อินเทอร์เน็ตยุคใหม่ ซึ่งจะตรงกับ DNA อินเทอร์เน็ตของเสียวหมี่เป็นที่สุด เพราะต้องการนำเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดและล้ำสมัยมาใช้และช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นผ่านเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ตอนนี้เชื่อว่าจะลงทุนอย่างน้อย 5 หมื่นล้านหยวน ( ประมาณ 7.18 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในช่วงอีกห้าปีข้างหน้าใน “5G + AIoT” เพื่อความเป็นผู้นำของเราในสาขานี้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทุกคน

สำหรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นนับเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของเสียวหมี่รองจากยุโรปและละตินอเมริกาตามลำดับ ปีที่แล้วเสียวหมี่มีรายรับจากสมาร์ตโฟนอยู่ที่ 47 ล้านหยวน ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 47.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ส่วนแบ่งการตลาดของเสียวหมี่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 4 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 โดยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบปีต่อปี เสียวหมี่ประเทศไทยมีการเติบโตกว่า 234% เมื่อเทียบปีต่อปีในไตรมาสที่ 3 เราขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 4 ในแบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่รวดเร็วและมั่นคง

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของเสียวหมี่ ดังนั้นเราจึงจะเดินหน้าลงทุนในเรื่องที่สำคัญในปี 2021 ดังนี้ การขยายตัวของร้านค้าปลีก ปัจจุบันเสียวหมี่มีร้านค้าที่ได้รับการรับรองจากเสียวหมี่ 36 แห่ง เราจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่ง นอกจากนี้เรายังมีจุดวางจำหน่ายสินค้าทั้งหมดของเสียวหมี่อยู่ที่ประมาณ 4,000 ร้านค้า จะเพิ่มเป็น 8,000 ร้าน ด้านการลงทุนด้านการตลาดเพื่อการรับรู้แบรนด์และผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยจะลงทุนเพิ่มอีก 1 เท่า

โดยด้านบริการหลังการขาย เสียวหมี่จะเพิ่มศูนย์บริการจาก 12 แห่ง เป็น 25 แห่ง รวมไปถึงศูนย์บริการและร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดจะเปิดให้บริการที่เซ็นทรัลบางนาในเดือนนี้ ในปีนี้ก็จะมีบริการหลังการขายหลายอย่างที่จะเพิ่มขึ้นมาเช่น จะเปิดให้บริการคอลล์เซ็นเตอร์ มีจุดรับสินค้า และบริการแบบ Door to Door หรือบริการถึงหน้าบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้นเสียวหมี่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์อีโคซิสเต็มอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และกำลังจะเปิดตัวสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ของเรา Mi 11 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมายพร้อมคุณสมบัติกล้องที่ล้ำหน้าไปอีกขั้น พร้อมแล้วที่จะส่งความสนุกครั้งใหม่ให้กับผู้ใช้ชาวไทยในราคาที่เป็นจริงในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส