เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เพิ่งเป็นวันครบรอบการจากไปของ เคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) ฟรอนต์แมนแห่งวง Nirvana ที่เสียชีวิตไปในปี 1994 ด้วยวัยเพียง 27 ปี ถึงกาลเวลาจะผ่านไปเกือบ 30 ปีแล้ว แต่ตำนานของโคเบนและบทเพลงของวง Nirvana ก็ยังคงก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของเราเสมอมา รวมไปถึงเหล่าบรรดาศิลปินที่จากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรทิ้งร่างกายและบทเพลงอันทรงคุณค่าเอาไว้ในวัยเพียง 27 ปีไม่ว่าจะเป็นตำนานแห่งวงการกีตาร์ จิมิ เฮนดริกซ์ (Jimi Hendrix), ตำนานแห่งวงการไซคีเดลิกร็อก จิม มอร์ริสัน (Jim Morrison) แห่งวง The Door หรือว่านักร้องสาวเสียงเปี่ยมเสน่ห์ เอมี ไวน์เฮาส์ (Amy Winehouse) และอีกมากมาย

เราคงทำได้แค่สงสัยอยู่ในใจว่าหากศิลปินเหล่านี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ตอนนี้พวกเขาจะสร้างสรรค์ผลงานอะไรดี ๆ ออกมาอีกบ้าง และเราเองก็คงได้แต่เสียดายที่ไม่มีโอกาสจะได้ฟังงานเพลงใหม่ ๆ จากศิลปินเหล่านี้อีกแล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น ด้วยความฉลาดล้ำของเหล่า AI ในที่สุดดูเหมือนว่าเรากำลังจะได้ฟังเพลงใหม่ของศิลปินเหล่านี้ซะแล้ว

ล่าสุดได้มีองค์กรหนึ่งได้สร้างสรรค์ “บทเพลงใหม่” ในสไตล์ของวง Nirvana ด้วยปัญญาประดิษฐ์ ที่ผลลัพธ์ออกมาน่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งทั้งสไตล์ดนตรีและการเขียนเนื้อร้องนั้นราวกับถอดวิญญาณออกมาจากวง Nirvana เลยจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นริฟฟ์กีตาร์ที่ชวนให้คิดถึงเพลง “Come as You Are” หรือว่าเพลง “Scoff” จากอัลบั้มเดบิวต์ ‘Bleach’ ส่วนเนื้อเพลงจากในท่อนร้องที่ร้องว่า “The sun shines on you but I don’t know how” หรือท่อนคอรัสสุดดิ่ง “I don’t care/I feel as one, drowned in the sun” ก็ทำให้คิดถึงผลงานเปี่ยมเสน่ห์จากปลายปากกาของโคเบนเลยจริง ๆ ส่วนเสียงร้องนั้นได้เอริค โฮแกน (Eric Hogan) ฟรอนต์แมนของวงที่เล่นทริบิวต์วง Nirvana มาเป็นคนร้องให้ ยิ่งทำให้ได้อารมณ์ในแบบฉบับของ Nirvana เข้าไปใหญ่

https://www.youtube.com/watch?v=L9yTuO7d1rk

บทเพลงที่กล่าวถึงนี้มีชื่อว่า “Drowned in the Sun” (จมน้ำตายภายใต้ดวงตะวัน) อันเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ “Lost Tapes of the 27 Club” ที่จะมีการทำเพลงขึ้นมาใหม่ทั้งเนื้อร้องและท่วงทำนองในสไตล์ของศิลปินใน 27 Club (เหล่าศิลปินที่เสียชีวิตไปด้วยวัย 27 ปี) ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือจากปัญญาประดิษฐ์ทั้งหมด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเตือนให้เราเห็นความสำคัญต่อการเยียวยาผู้มีภาวะซึมเศร้าด้วยการทำให้เราเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าจะเป็นอย่างไรหากศิลปินเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่หากได้รับการเยียวยาจากภาวะซึมเศร้า

แต่ละแทร็กที่ถูกเขียนขึ้นมานั้นเกิดจากการประมวลผลของ AI ที่ได้รับข้อมูลป้อนเข้ามาเป็นบทเพลงจำนวน 30 เพลงจากแต่ละศิลปินและแยกส่วนเป็นพาร์ตต่าง ๆ  โดยระบบจะทำการศึกษาเมโลดี้ร้อง การเปลี่ยนคอร์ด กีตาร์ริฟฟ์และโซโล รูปแบบกลอง รวมไปถึงเนื้อร้อง เพื่อทำการประมวลผลว่าการเรียบเรียงบทเพลง “ใหม่” ของศิลปินเหล่านี้ควรจะเป็นเช่นไร โปรเจกต์นี้เป็นผลงานภายใต้องค์กร “Over the Bridge” ในโตรอนโตที่ช่วยเหลือบรรดาสมาชิกที่อยู่ในอุตสาหกรรมดนตรีที่กำลังต่อสู้อยู่กับความเจ็บป่วยทางจิต

“จะเป็นอย่างไรหากนักดนตรีที่เรารักได้รับการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต” นี่คือคำถามตั้งต้นของโครงการนี้จาก ฌอน โอคอนเนอร์ (Sean O’Connor) คณะกรรมการบริหารของ Over the Bridge และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของบริษัทเอเจนซีโฆษณานามว่า Rethink “อย่างไรก็ตามในอุตสาหกรรมดนตรี ภาวะซึมเศร้าได้ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติและถูกโรแมนติไซส์จนทำให้มองว่าเพลงอันยอดเยี่ยมของพวกเขาคือผลพวงจากความทุกข์ทรมาน”

ในการสร้างสรรค์บทเพลงโอคอนเนอร์และทีมงานของเขาได้ใช้โปรแกรม AI ของ Google ที่มีชื่อว่า “Magenta” ซึ่งเรียนรู้วิธีการแต่งเพลงในสไตล์ของศิลปินที่กำหนดไว้โดยจะทำการวิเคราะห์ผลงานเพลงของพวกเขา ก่อนหน้านี้เคยมีการใช้ AI ในการแต่งเพลงมาบ้างแล้วเช่น Sony ที่ใช้ซอฟต์แวร์ในการสร้างเพลงของ The Beatles ขึ้นมาใหม่ หรือวงอิเล็กโทรพอป ‘Yatch used it’ ก็ใช้ AI ในการทำเพลงจากอัลบั้ม Chain Tripping ในปี 2019

ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ Magenta

สำหรับโครงการ Lost Tapes โปรแกรม Magenta จะทำการวิเคราะห์เพลงของศิลปินที่ถูกป้อนเข้ามาในรูปแบบของไฟล์ MIDI ซึ่งทำงานคล้ายกับการคีย์ MIDI บนแป้นคีย์บอร์ด โดยการแปลระดับเสียงและจังหวะให้เป็นรหัสดิจิทัลที่สามารถป้อนผ่านซินธิไซเซอร์เพื่อสร้างเพลงใหม่ หลังจากตรวจสอบแต่ละตัวเลือกโน้ตของศิลปิน รวมไปถึงจังหวะดนตรีและการเลือกใช้ฮาร์โมนีจากไฟล์ MIDI แล้ว คอมพิวเตอร์จึงสร้างเพลงใหม่ออกมาซึ่งทีมงานสามารถเข้าไปจัดการเพื่อเลือกช่วงที่ดีที่สุดได้

“ยิ่งคุณใส่ไฟล์ MIDI มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” โอคอนเนอร์กล่าว

“เราจึงใช้ข้อมูลกว่า 20 ถึง 30 เพลงจากศิลปินแต่ละคนของเราเป็นไฟล์ MIDI และแยกย่อยออกเป็นท่อนฮุค โซโลเสียงร้อง ทำนองเพลง หรือจังหวะกีตาร์และใส่เพลงเหล่านั้นทีละเพลง ถ้าคุณใส่ทั้งเพลงโปรแกรมจะสับสนมากว่าเสียงที่ออกมานั้นควรจะเป็นอย่างไร อีกทั้งยังจับจุดที่น่าสนใจได้แค่เพียงเล็กน้อย”

โอคอนเนอร์และทีมของเขาใช้กระบวนการที่คล้ายกันสำหรับเนื้อเพลงโดยใช้โปรแกรม AI ที่เรียกว่าโครงข่ายประสาทเทียม ซึ่งพวกเขาสามารถป้อนเนื้อเพลงของศิลปินและเริ่มต้นเพลงจากคำไม่กี่คำและจากนั้นโปรแกรมจะคาดเดาจังหวะและโทนของเนื้อเพลงและแต่งมันจนเสร็จ “มันเป็นการลองผิดลองถูกอย่างมาก” โอคอนเนอร์กล่าวพร้อมเสริมว่าทีมงานทำงานอย่างหนักเพื่อตรวจสอบเนื้อเพลงเป็นหลาย ๆ  หน้าเพื่อหาการเปลี่ยนวลีที่สอดคล้องกับเสียงร้องจากท่วงทำนองที่โปรแกรม Magenta สร้างขึ้นมา

https://www.youtube.com/watch?v=jh3dNJIYO2M

“Man, I Know” (บทเพลงในสไตล์ของเอมี ไวน์เฮาส์)

เมื่อในส่วนของการเรียบเรียงดนตรีเป็นอันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ในส่วนต่อมาทีมงานก็มีงานคัดเลือกนักร้องที่จะมาปลุกวิญญาณของศิลปินแต่ละคน ซึ่งนักร้องส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมงานจะเป็นคนที่เล่นทริบิวต์วงหรือศิลปินเหล่านั้นอยู่แล้ว ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นน่าตื่นใจมาก ๆ ฟังดูราวกับว่าศิลปินคนนั้นมาร้องด้วยตัวเองเลยอย่าง เอริค โฮแกน นั้นก็เล่นให้กับวง NEVERMIND ซึ่งเป็นวงที่เล่นบริบิวต์งานของ Nirvana มาเป็นเวลากว่า  6 ปี ซึ่งเริ่มต้นจากความสนุกสนานเพียงครั้งเดียวในงานวันฮัลโลวีน ในวันนั้นโฮแกนและเพื่อน ๆ ได้เล่นเพลงของวงร็อกรุ่นเก๋าวงอื่นอีกอาทิ Foo Fighters และ Stone Temple Pilots แต่เมื่อพวกเขาเล่นเพลงของ Nirvana ค่ำคืนนั้นก็เดือดกันอย่างเมามันส์ เสียงตอบรับที่ดีในคืนนั้นก็เลยทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะเล่นเพลงของวง Nirvana ตั้งแต่นั้นมา เมื่อทีม Over the Bridge ขอให้โฮแกนร้องเพลง “Drowned in the Sun” เขาคิดว่าโปรเจกต์นี้มันน่าเหลือเชื่อและเจ๋งมาก ๆ “หลังจากพูดคุยกันเสร็จผมก็ยังไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง” โฮแกนกล่าว “แล้วพวกเขาก็ส่งไฟล์และเงินมาให้ผม”

เอริค โฮแกน ผู้ให้เสียงร้องในเพลง Drowned in the Sun
วง NEVERMIND

เมื่อโฮแกนได้ยินดนตรีครั้งแรกเขาก็รู้สึกตกตะลึง “ผมไม่รู้ว่าผมควรจะร้องมันยังไง ผมจะต้องพึมพำและครวญเพลงไปกับเสียงดนตรีที่มาจาก AI ผมรู้สึกแปลก ๆ เมื่อลองคิดว่า โคเบนจะร้องอะไรแบบไหน พวกเขาจะต้องกำหนดแผนงานให้ผมสักหน่อยแล้วจากตรงนั้น มันก็โอเคแล้วล่ะ”

ในกระบวนการทั้งหมดมีขั้นตอนของการตามหาแฟนพันธุ์แท้ของศิลปินเพื่อมาช่วยตรวจสอบว่าผลงานที่ออกมานั้นคล้ายคลึงกับงานต้นฉบับจนเกินไปจนดูคล้ายกับ “ขโมย” งานของศิลปินเหล่านั้นหรือไม่ อย่างตอนแรกในเพลง “The Roads Are Alive” ที่ทำออกมาในสไตล์ของวง The Doors ทางทีมงานก็มีความกังวลใจว่ามันฟังดูคล้ายกับเพลง “Peace Frog” แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่ามันไม่เหมือนกันเสียทีเดียว “วิศวกรเสียงคนหนึ่งเปิดเพลง “Peace Frog” ให้เราฟัง” โอคอนเนอร์กล่าว “แล้วเขาก็บอกว่า ‘นี่คือสิ่งที่ Peace Frog ทำ ส่วนนี่คือสิ่งที่เราทำ’ มันแตกต่างกัน โอเคตอนนี้เราสบายใจได้แล้วล่ะ”

https://www.youtube.com/watch?v=xW6_QAcujr8

“The Roads Are Alive” (บทเพลงในสไตล์ของวง The Doors)

จากการทำงานในโครงการนี้พบว่า Nirvana เป็นหนึ่งในศิลปินที่ยากเย็นที่สุดสำหรับปัญญาประดิษฐ์ที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้มีความเป็นสไตล์ของวง ในขณะที่ศิลปินอย่างจิมิ เฮนดริกซ์ มักจะสร้างสรรค์บทเพลงอย่าง “Purple Haze” และ “Fire” ด้วยริฟฟ์ง่าย ๆ แต่โคเบนมักเล่นคอร์ดที่เป็นก้อนและแตกพร่าทำให้คอมพิวเตอร์เกิดความสับสน “คุณมีแนวโน้มที่จะได้รับเสียงแบบ Wall of Sound (ซาวด์ที่มีความหนาแน่น เป็นหลาย ๆ ชั้น)” โอคอนเนอร์กล่าวถึงการทำงานของ Magenta ในการสร้างเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Nirvana “มันมีองค์ประกอบที่สามารถระบุได้น้อยมากจากงานเพลงทั้งหมดของพวกเขาเพื่อที่จะทำให้คุณมีแคตตาล็อกชิ้นใหญ่ที่ระบบสามารถเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ จากมันได้”

“ [Drowned in the Sun] มีความแม่นยำเพียงพอที่จะทำให้คุณได้รับความรู้สึกแบบ Nirvana แต่ไม่ถูกต้องแม่นยำขนาดที่ว่าจะทำให้คุณได้รับจดหมายเตือนการละเมิดลิขสิทธิ์จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา” โฮแกนกล่าว “ถ้าคุณดูจากเพลงสุดท้ายที่โคเบนและ Nirvana ได้บันทึกเสียงไว้ก่อนการเสียชีวิตของเขา “You Know You’re Right” คุณจะพบว่ามันมีกลิ่นอายในแบบเดียวกัน เคิร์ตจะเขียนในสิ่งที่เขารู้สึกอยากจะเขียนในเวลานั้นออกมา และถ้าเขาชอบมัน นั่นล่ะมันจะกลายเป็นเพลงของ Nirvana ผมได้ยินบางสิ่งเหล่านั้นในเพลง Drowned in the Sun  ‘ตรงนั้นมันเป็นบรรยากาศแบบอัลบั้ม In Utero ใช่ไหม’ ‘หรือตรงนี้มีกลิ่นอายของ Nevermind นี่นา’ …ผมเข้าใจความเป็น AI ของมันจริง ๆ”

โฮแกนกล่าวว่าเขาชื่นชอบเนื้อเพลงที่คอมพิวเตอร์แต่งขึ้นเป็นพิเศษ ในความเห็นของเขา ถ้อยคำของโคเบนมักจะ “มีความผสมปนเปกัน” แต่เขารู้สึกว่าเนื้อเพลงเหล่านี้มีความตรงไปตรงมามากขึ้นโดยไม่คลาดเคลื่อนไปจากถ้อยความที่กลั่นออกมาจากโคเบน “มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นความคิดที่สมบูรณ์แล้ว” โฮแกนกล่าว “อย่างในเพลงนี้ที่ร้องว่า  ‘I’m a weirdo, but I like it’ นั่นคือความเป็นเคิร์ต โคเบน เลยจริง ๆ ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เขาอยากจะพูดออกมา ‘The sun shines on you, but I don’t know how’  นี่มันเยี่ยมมากเลย สารที่ผมได้รับจากเพลงนี้เลยก็คือ ‘ผมกำลังเบื่อออและคุณก็เบื่อออเหมือนกัน แต่แตกต่างกันคือผมรับมันได้แต่คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น’ ” ดังนั้น “Drowned in the Sun” จึงคล้าย ๆ กับเป็นการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่เหมือนในเรื่องแฟรงเกนสไตน์ซึ่งคล้ายกับเป็นการท้าทายงานของพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นไปในจักรวาล “ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนที่ดีที่สุดที่จะคุยเรื่องจริยธรรมด้วยรึเปล่า” โฮแกนกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “ผมหมายความว่าผมเองเดินทางไปทั่วประเทศโดยแสร้งว่าเป็นใครบางคน [เคิร์ต โคเบน] อยู่เหมือนกัน”

https://www.youtube.com/watch?v=oIoCVX6F30E

“You’re Gonna Kill Me” (บทเพลงในสไตล์ของจิมิ เฮนดริกซ์)

“ผมคิดว่าจะต้องมีคนจำนวนมากที่จะมองสิ่งนี้ในแง่ร้ายและบอกว่า ‘โอ้นี่มันคือการตายของดนตรีจริง ๆ เสียแล้ว’ โฮแกนกล่าวต่อ “แต่ผมโอเคกับมันนะ หากใช้มันเป็นเครื่องมือในการทำเพลงผมว่ามันเจ๋งเลยทีเดียวล่ะ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเกี่ยวกับเรื่องข้อกฎหมายในอนาคตรึเปล่า แต่เมื่อคุณเริ่มเดินทางไปแล้วจนถึงจุดที่มันดูดีเลยทีเดียว มันก็ย่อมจะต้องมีประเด็นถกเถียงถึงมันเป็นธรรมดา”

ความตั้งใจของ Over the Bridge คือเพียงแค่สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิต องค์กรนี้ได้ดำเนินการเปิดเพจเฟซบุ๊คที่ให้การสนับสนุนตลอดจนการพูดคุยผ่านซูมและทำเวิร์กช็อปเพื่อให้ความรู้กับศิลปินและทำให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง (และ Over the Bridge ก็ไม่ได้มีแผนจะทำเพลงเพื่อขาย) “ในบางครั้งแค่เพียงได้รับรู้ความรู้สึกจากใครสักคนว่า ‘ฉันก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกับที่คุณเป็น’ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขากำลังได้รับการซัปพอร์ตอยู่” ไมเคิล สคริเว่น (Michael Scriven) ตัวแทนของ Lemmon Entertainment และ CEO ในคณะกรรมการบริหารของ Over the Bridge กล่าว

ในขั้นตอนการทำเพลงของโครงการนี้ “มีมือมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในจำนวนไม่มากนักตั้งแต่ตอนเริ่มต้น ตอนกลาง และในท้ายที่สุด” สคริเว่นกล่าว “หลายคนอาจคิดว่า [AI] กำลังจะเข้ามาแทนที่นักดนตรีในบางจุด แต่ ณ จุดนี้เราต้องการคนมาร่วมงานเพื่อพาเพลงเหล่านี้ไปสู่จุดที่เราสามารถฟังมันได้ซึ่งนั่นมีความสำคัญมากทีเดียว” แต่ละเพลงต้องอาศัยการทำงานของโอคอนเนอร์ ช่างเทคนิค Magenta โปรดิวเซอร์เพลง วิศวกรเสียง และเหล่านักร้อง “เราจะไม่เพียงแค่กดปุ่มและทำทุกอย่างแทนที่ศิลปินเหล่านี้” โอคอนเนอร์กล่าว “ผมหวังว่าทีม Over the Bridge จะพัฒนา AI ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก” โฮแกนกล่าว “มันยังมีอะไรอีกมากมายที่พวกคุณทำได้”

Source

Rollingstone

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

เนื้อหาล่าสุด

[สัมภาษณ์พิเศษ] ทีมนักแสดง ทีมงาน และเมนเทอร์ หนังไทย Netflix เรื่องใหม่ ‘DEEP โปรเจกต์ลับ หลับเป็นตาย’

‘DEEP โปรเจกต์ลับ หลับเป็นตาย’ คือภาพยนตร์ไทยออริจินัลของ Netflix เรื่องล่าสุดที่น่าสนใจในหลาย ๆ แง่ ทั้งการเป็นหนังระทึกขวัญพล็อตแหวกที่ว่าด้วยนักศึกษาแพทย์ 4 ...อ่านต่อ

EVGA เตรียมเปิดตัวเมนบอร์ดสำหรับ AMD ตัวแรก

ที่เราไม่เคยเห็นเมนบอร์ดหรือการ์ดจอจาก AMD ออกมาจาก EVGA เลยก็เพราะว่า EVGA นั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทาง Nvidia และ Intel ที่ผ่านมาเราเลยเห็นแต่อุปกรณ์ที่ Support ...อ่านต่อ

Google เตรียมบังคับใช้ไฟล์ App Bundle (.aab) แทนไฟล์ Package (.apk) ในเดือนสิงหาคมนี้

ผู้ใช้งาน Android ทั่วไปน่าจะรู้จักกับไฟล์ Android Package หรือไฟล์ .apk ที่เป็นไฟล์สำหรับติดตั้งแอปบน Android กันเป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อปี 2018 ทาง Google ได้เปิดตัว Android App ...อ่านต่อ

Sony ประกาศ Housemarque เข้ามาเป็นส่วนนึงของ PlayStation Studios

Sony เข้าซื้อและประกาศอย่างเป็นทางการ ทีมพัฒนา Housemarque ที่พึ่งปล่อยเกมล่าสุด Returnal ให้กับ PlayStation 5 จะได้มาเป็นส่วนนึงของ PlayStation Studios