ขนส่งสาธารณะถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ อันเป็นสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของประชาชน นอกจากนี้แล้วยังเป็นรากฐานของเมืองที่น่าอยู่ ทั้งในด้านการเดินทาง การเข้าถึงที่เท่าเทียม และความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปัญหารถติด และสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวา หลายประเทศทั่วโลก จึงเร่งพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะนี้ให้ดีเพื่อตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศ

สำหรับการจัดอันดับเมืองระบบขนส่งสาธารณะที่ดีที่สุดในบทความนี้ จะอ้างอิงผลการศึกษาของบริษัท Oliver Wyman ร่วมกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) โดยเป็นการจัดอันดับในหัวข้อ Urban Mobility Readiness Index (ดัชนีความพร้อมของการเดินทางในเมือง) ประเมินระบบขนส่งสาธารณะของ 70 เมืองใหญ่ทั่วโลก 

ซึ่งพิจารณาจากคุณภาพโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ การนำเทคโนโลยีมาใช้ ความยั่งยืนความน่าสนใจทางการตลาด ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และนวัตกรรม สำหรับปี 2024 ถือเป็นครั้งที่ 6 แล้ว โดยครั้งนี้ได้เพิ่มดัชนีย่อยใหม่สำหรับการประเมินด้าน การยอมรับเทคโนโลยี เช่น AI, รถไร้คนขับ (AV) และแท็กซี่ทางอากาศ เข้าไปด้วย 

Photo by pexels

10 อันดับเมืองที่ขนส่งสาธารณะดีที่สุดในโลก

  1. สิงคโปร์

สิงคโปร์ครองอันดับ 1 ของโลกด้วยระบบ MRT ที่ทันสมัยและเป็นผู้นำด้านระบบอัตโนมัติมาตั้งแต่ปี 2003 ปัจจุบันมี 6 สาย ครอบคลุมกว่า 200 กม. เชื่อมโยงย่านที่อยู่อาศัย ศูนย์กลางการค้า และแหล่งท่องเที่ยว พร้อมด้วยเครือข่ายรถบัส โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้ 75% ของการเดินทางทำด้วยระบบรางหรือรถบัสทั้งหมดภายในปี 2030 

  1. ฮ่องกง 

ฮ่องกงขึ้นชื่อเรื่อง ความรวดเร็ว ราคาไม่แพง และเข้าถึงง่าย กว่า 70% ของการเดินทางทั้งหมดใช้ขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะ MTR ที่รองรับกว่า 9.7 ล้านเที่ยวต่อวัน รถไฟออกถี่มาก แม้ช่วงนอกเวลาเร่งด่วนก็รอไม่กี่นาที และยังเชื่อมต่อกับรถบัส รถราง เรือข้ามฟาก รวมถึง Airport Express จุดเด่นอีกอย่างคือบัตร Octopus Card ที่ใช้ได้แทบทุกการเดินทางอย่างสะดวกสบาย

  1. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

เมืองหลวงสวีเดนโดดเด่นด้วยระบบที่ ยั่งยืนและปล่อยคาร์บอนต่ำ มีทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส รถราง และเรือข้ามฟากที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายรถไฟประเทศ ที่สำคัญตั้งแต่ปี 2017 รถทุกประเภทใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2030 

  1. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่า จักรยานเป็นใหญ่ โดยกว่า 62% ของชาวเมืองปั่นจักรยานไปทำงานทุกวัน ควบคู่กับระบบขนส่งสาธารณะหลายรูปแบบที่มีให้บริการตลอด 24 ชม. เมืองยังลงทุนขยายรถไฟใต้ดินสาย M5 (อนุมัติปี 2025) ที่จะเปิดเส้นทางใหม่เชื่อมย่านอยู่อาศัยและเกาะอมาเกอร์ และยังมีแนวคิดการวางแผนระยะยาวในการรองรับผู้โดยสารไปถึงปี 2070

  1. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ปารีสได้รับการยกย่องกับแนวคิด “เมือง 15 นาที” พร้อมเครือข่ายขนส่งหนาแน่น ราคาย่อมเยา (ตั๋วเฉลี่ยเพียง 18% ของค่าอาหารหนึ่งมื้อ) ครอบคลุมทั้งรถไฟใต้ดิน รถราง และ RER นอกจากใช้งานสะดวก ยังเป็นการเดินทางท่ามกลาง ประวัติศาสตร์และศิลปะ เพราะสถานีแต่ละแห่งตกแต่งในสไตล์เฉพาะตัว

  1.  เวียนนา ประเทศออสเตรีย

เวียนนาเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่อันดับต้น ๆ ของโลก เพราะมีระบบขนส่งหลายรูปแบบ ทั้งรถไฟใต้ดิน 5 สาย รถราง 29 สาย และรถบัส 127 เส้นทาง โดดเด่นที่ราคาถูกมาก: ตั๋วรายปีเพียง €365 (ประมาณ 1 ยูโรต่อวัน) ระบบยังมีการใช้ซอฟต์แวร์ขั้นสูงช่วยวางแผนเส้นทาง การสร้าง และการจัดการยานพาหนะไฟฟ้า

  1. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

เบอร์ลินมีจุดเด่นเรื่อง Multimodality หรือการเดินทางหลายรูปแบบในแอปฯ เดียว วางแผนและจ่ายเงินได้ทั้งรถไฟ รถยนต์ และ e-scooter ซึ่งคนเมืองกว่า 97% ให้ความน่าเชื่อถือในเรื่องของความสะดวกและความปลอดภัย และยังมีระบบ Deutschland Ticket เพียง €58 ต่อเดือน ซึ่งใช้ได้ทั่วประเทศ

  1. ซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

แม้ว่าค่าครองชีพในซูริกจะสูง แต่ระบบขนส่งสาธารณะกลับสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทั้งในแง่ของราคาและการใช้บริการ โครงข่ายขนส่งถูกแบบมาเป็นอย่างดี ทั้งในด้านประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อ ทำให้แทบทุกสถานีอยู่ในระยะเดินได้ ซูริกยังได้อานิสงส์จากระบบรถไฟของประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ Swiss Federal Railways (SBB) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเครือข่ายรถไฟที่ดีที่สุดในโลก

  1. ออสโล ประเทศนอร์เวย์

ออสโลขึ้นชื่อเรื่องระบบขนส่งที่พัฒนาอย่างทันสมัยและทำให้การเดินทางในเมือง ง่ายดาย ไม่ว่าจะเดินเท้าหรือขี่จักรยานก็ไม่ไกลจากจุดขนส่งสาธารณะ ค่าใช้จ่ายขนส่งสาธารณะถือว่าประหยัด โดยเฉลี่ยคิดเป็นเพียง 28% ของค่าอาหารต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าค่าจอดรถที่คิดเป็นราว 56%

เมืองนี้ตั้งเป้าหมายยิ่งใหญ่คือการเป็นเมืองปลอดการปล่อยมลพิษแห่งแรกของโลกภายในปี 2030 โดยปี 2024 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แซงหน้ารถเครื่องยนต์สันดาปเป็นครั้งแรก

  1. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ระบบขนส่งมวลชนของโตเกียวได้รับการยอมรับว่าเป็นเครือข่ายรถไฟเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ทั้งรถไฟใต้ดินและรถไฟชานเมือง เครือข่ายยังเชื่อมต่อกับรถบัส รถราง รถโมโนเรล รวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูง (ชินคันเซ็น) ของญี่ปุ่น ทำให้เดินทางได้ทั้งในเมืองและทั่วประเทศอย่างสะดวก

ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะเมืองที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังวางแผนพัฒนาระบบการเดินทางสาธารณะโดยคำนึงการสนับสนุนการท่องเที่ยวในระยะยาว พร้อมพัฒนาระบบภาษากว่า 12 ภาษาเพื่อความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย

Photo by Oliver Wyman Forum

สำหรับกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งอยู่ในกลุ่มเมืองกำลังพัฒนา ภาพรวมของอันดับอยู่ที่ 48 จากทั้งหมด 70 ประเทศที่ระบบสาธารณะดีที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อการประเมินดังนี้

  • ขนส่งสาธารณะ (Public Transit) อยู่ที่อันดับ 46
  • การสัญจรอย่างยั่งยืน (Sustainable Mobility) อยู่ที่อันดับ 47
  • การนำเทคโนโลยีมาใช้ (Technology Adoption) อยู่ที่อันดับ 53 

ซึ่งถือว่ายังตำ่กว่ามาตรฐานที่ไทยควรจะทำได้ สะท้อนถึงปัญหาระบบขนส่งมวลชนที่เป็นปัญหาใหญ่เชิงโครงสร้างของประเทศ 

Photo by btsgroup

ล่าสุดรัฐบาลไทยได้มีโครงการ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่มใช้ 1 ตุลาคม 2025 ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จในแง่การแก้ไขปัญหาความเลื่อมล้ำบางส่วน ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และลดปัญหาการจราจรที่ติดขัด แต่การพัฒนาก็ยังต้องทำอย่างต่อเนื่องต่อไป เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะของไทยยังมีรถโดยสารอีกหลายประเภททั้งรถเมล์ รถสองแถว รวมไปถึงรถไฟ เรือ ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไทย-จีน ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่รัฐบาลไทยจะต้องดูแลพัฒนาต่อ ในด้านการกระจายความสะดวกให้เข้าถึงทุกคนทุกพื้นที่ ไม่เพียงแต่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครเท่านั้น เพื่อลดความเจริญที่กระจุกตัว ให้กระจายความเจริญเหล่านี้ไปถึงประชาชนคนไทยทุกคน และเพื่อการประเมินในครั้งต่อไปประเทศไทยจะพัฒนาไปในอันดับที่ดีขึ้นทัดเทียมนานาประเทศ สู่เมืองและประเทศที่ระบบขนส่งสาธารณะดีรองรับการใช้ชีวิตของประชาชน