รีวิวเกม Overlord Escape from Nazarick เกมแนว Metroidvania ฉบับอนิเมะ
Our score
6.5

Overlord Escape from Nazarick

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์เข้าใจง่าย ต่อสู้กับบอสสนุก
  2. กราฟิกผสมผสานได้ลงตัว
  3. ราคาเกมถูก

จุดสังเกต

  1. ศัตรูในเกมซ้ำซาก
  2. เกมสั้นเกินไปหน่อย
  3. ฉากออกแบบไม่ดี

เกมแอ็กชันเน้นสำรวจฉากหรือที่เรียกว่า Metroidvania ถูกสร้างออกมามากมายนับไม่ถ้วน ทำให้หากผู้สร้างไม่สามารถทำให้โดดเด่นก็อาจจะไม่น่าสนใจ แต่เกมที่นำมารีวิวในวันนี้มันเตะตาตั้งแต่ต้น เพราะมันสร้างโดยอิงจากอนิเมะ Overlord และมีกราฟิกที่ดูน่าสนใจทำให้ต้องหามาลองเล่น (เกมวางขายบน PC และ Nintendo Switch)

นอกจากนี้สัมผัสแรกของ Overlord Escape from Nazarick ยังทำให้คิดถึงเกมในตำนานอย่าง Castlevania Symphony of the Night อยู่หลายส่วน ไม่ใช่แค่รูปแบบการเล่น แต่งานออกแบบฉากที่วนเวียนอยู่ในดันเจี้ยนเดียว และแอ็กชันของตัวละครที่เหมือนถอดแบบมา ทำให้ในเบื้องต้นมันขาดความเป็นต้นฉบับเหมือนเกมเลียนแบบ แต่พอได้สัมผัสมันก็พอมีความแตกต่างอยู่หลายส่วน

เกมเป็นผลงานของค่าย Engines Inc. และจัดจำหน่ายโดย KADOKAWA CORPORATION แม้ว่าอาจจะไม่ใช่เกมฟอร์มใหญ่อะไรนักแต่ก็พอจะน่าสนใจ ส่วนเรื่องราวในจะเน้นการหาทางออกไปจากวิหาร Nazarick ที่ตัวเอก Clementine ที่หลังจากพลาดท่าและได้คืนสติในดันเจี้ยนลึกลับพร้อมอาการความจำเสื่อม ผู้เล่นต้องรวบรวมอาวุธ, คืนค่าสกิลความสามารถเพื่อหาทางออกไปจากขุมนรกนี้ แต่เรื่องราวเหมือนกับการเป็นสปินออฟจากซีรีส์หลักอย่าง Overlord มากกว่า

กราฟิกแบบพิกเซลที่ไม่ดูเชย

แม้ว่าภาพใน Overlord Escape from Nazarick จะเป็นแบบพิกเซลแต่ก็มีการใส่รายละเอียดเข้าไปโดยเฉพาะแสงเงาของฉากและตัวละคร ทำให้มันมีความคล้ายกับภาพแบบ 2D-HD อยู่หลายส่วนแต่ก็ไม่ได้เหมือนกันแบบ 100% อย่างไรก็ตามภาพมันดูดีเกินกว่าต้นฉบับที่มันพยายามจะเป็น และไม่ได้ดูเชยเลยถือว่าเป็นการพบกันตรงกลางระหว่างยุคเก่าและใหม่ได้ลงตัว

แต่เป็นที่น่าเสียดายคือเพลงประกอบทำได้น่าผิดหวัง แม้ว่าจะมีการตั้งใจใส่ดนตรีบรรเลงแนวเดียวกับภาค Castlevania Symphony of the Night แต่ทำได้เรียบเกินไปไม่มีเพลงธีมที่โดดเด่นเลย ทำให้มันกลายเป็นข้อด้อยของเกมไปอย่างน่าเสียดาย เพราะมันห่างชั้นกับต้นฉบับมากราวฟ้ากับเหว ส่วนเสียงพากย์ของตัวละครมีในระหว่างเล่นที่เป็นการบอกชื่อท่าไม้ตาย แต่ไม่มีในฉากเล่าเรื่องทำให้น่าผิดหวังพอสมควร

รูปแบบการเล่นเน้นสำรวจ

เกมเพลย์จะมาแนว Metroidvania แบบจัดเต็มตัวเอก Clementine จะต้องออกสำรวจฉากกว้าง ๆ แบบ 2 มิติมุมมองด้านข้างเพื่อค้นหาทางไปต่อ ที่ผู้เล่นมีอิสระในการเดินทางไปได้ทั่วแต่จะถูกจำกัดด้วยอุปสรรคที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการปลดล็อกเปิดทางไปต่อ เช่นการเก็บพลังของธาตุไฟแล้วตัวละครของเราจะเดินลุยไฟได้ แต่ยังมีท่าพิเศษที่ช่วยกำจัดศัตรูได้พร้อมกันหลายตัวและจำเป็นต่อการต่อสู้กับบอสด้วย

นอกจากนี้การเปิดประตูยังใส่ระบบแปลก ๆ ที่เราจะใช้มีดเพื่อสะเดาะประตู หรือใช้ไอเทมลูกตุ้มติดโซ่เพื่อห้อยโหนไปบนพนังหรือกำแพง และลูกตุ้มยังใช้เป็นอาวุธโจมตีได้ด้วย หรือการกระโดดไปโหนเสาในฉากแล้วทำท่าเหมือนเล่นยิมนาสติกเพื่อกระโดดไปที่สูง ทำให้มันดูแปลกประหลาดเพราะแทบไม่มีเกมไหนทำมาก่อน แต่สามารถนำมาประยุกต์ได้หลากหลายและบอสบางตัวก็ต้องใช้ความสามารถแปลก ๆ เพื่อช่วยต่อสู้ด้วย

ความแปลกแบบงง ๆ อีกส่วนในเกมคือไม่มีการระบุว่าต้องทำอะไรที่ไหนบ้างแบบตรง ๆ ทำให้ผู้เล่นต้องหาคำบอกใบ้และหาทางไปต่อเอาเอง แต่หากมองเป็นข้อดีคือมันเหมือนกับต้นฉบับที่ต้องหาเส้นทางเอาเองไม่มีจุดบอกบนแผนที่ และเนื่องด้วยฉากที่กว้างพอสมควร ทำให้มีการใส่จุดวาร์ปเข้ามาทำให้เราเดินกลับไปมาเพื่อสำรวจได้รวดเร็ว

ระบบแอ็กชันที่ไม่ซับซ้อนแต่สนุกไม่สุด

อีกส่วนที่ยังทำได้ไม่ค่อยดีนักคือการต่อสู้ ที่หลัก ๆ แล้วเราจะสามารถใช้อาวุธได้ 2 ชนิดที่มาแบบหลักและอาวุธเสริม ที่จะสลับเปลี่ยนออกมาใช้ได้ง่ายดาย และยังอัปเกรดให้โจมตีแรงขึ้นได้ด้วยการเอาอัญมณีมาเพิ่มค่าพลังตามเตาหลอมที่อยู่ในฉาก แต่ก็ไม่ได้สร้างเพิ่มค่าอะไรได้มากนัก ศัตรูในเกมก็โจมตีแบบซ้ำซากไปหน่อย ยังดีที่การต่อสู้กับบอสทำได้สนุกพอตัว เพราะมีการโจมตีที่หลากหลายและเราต้องงัดอาวุธและท่าไม้ตายมาเพื่อกำจัดมันที่ต้องใช้ทั้งอาวุธหลัก, อาวุธเสริมและท่าไม้ตายถึงจะกำจัดได้ แต่สำหรับมือใหม่ก็มีโหมดง่ายมาให้เล่นด้วย

นอกจากนี้ความสามารถที่ตัวเอกต้องมีคือระบบเวทมนต์ ที่มาแบบง่าย ๆ เช่นพลังไฟก็จะปล่อยลูกไฟไป และมีค่าพลังทำให้ใช้ได้จำกัดไม่ได้แตกต่างหรือแปลกใหม่ และแอ็กชันการปล่อยท่าก็ทำได้เรียบไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่มันก็จำเป็นในการผ่านฉากและต่อสู้กับศัตรูบางตัว ซึ่งเวทมนต์จะค่อย ๆ ปลดล็อกออกมาเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ที่ตรงจุดนี้อาจจะดูธรรมดาไปหน่อย

Overlord Escape from Nazarick อาจจะไม่ใช่เกมแนว Metroidvania ที่ดีที่สุดเพราะหลายจุดในเกมยังดูไม่ลงตัวเท่าที่ควร ทั้งฉากที่ชวนงง ๆ ศัตรูที่ใช้รูปแบบซ้ำซากเพลงประกอบที่ไม่มีธีมโดดเด่นติดหู ทำให้ความพยายามที่จะเลียนแบบ Castlevania Symphony of the Night ดูเสียของไป แถมเกมยังสั้นไปหน่อยใช้เวลาจบไม่ถึง 4 ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบกับราคาขายก็ถือว่าคุ้มอยู่ ยิ่งหากคุณเป็นแฟนการ์ตูนอยู่แล้วก็ไม่ต้องคิดมากไปหามาเล่นได้เลย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส