องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศบรรจุครีมกันแดดเข้าไว้ในบัญชียาจำเป็นต้นแบบ (Essential Medicines List – EML) เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยถือเป็นครั้งแรกที่ WHO รับรองว่าครีมกันแดดคือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิต (life-saving medical product)
โดยทั่วไป คนจะเข้าใจกันว่าครีมกันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ด้านความงามหรือไลฟ์สไตล์เท่านั้น แต่การบรรจุใน EML ครั้งนี้เป็นการปรับแนวความคิดใหม่ โดยนิยามให้ครีมกันแดดเป็นยาบำบัดรักษาเชิงป้องกัน (therapeutic, preventive medicines) เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้และมีราคาที่เอื้อมถึง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีภาวะไวต่อแสงแดดสูง อาทิ คนผิวเผือก (Albinism) 

โรคเผือก (Albinism) เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่พบได้ยาก เกิดจากการกลายพันธุ์หรือการเปลี่ยนแปลงของยีนบางชนิดที่ส่งผลต่อปริมาณเมลานินที่ร่างกายผลิต เมลานินควบคุมการสร้างเม็ดสี (สี) ของผิวหนัง ดวงตา และเส้นผม
ความสำคัญหลังจากการประกาศบัญชี EML นี้ จะทำหน้าที่เป็นแหล่งอ้างอิงสากล เพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลต่าง ๆ พิจารณาว่ายาและเวชภัณฑ์ใดที่ควรได้รับความสำคัญในระบบสุขภาพของประเทศตน WHO ยืนยันว่า ครีมกันแดดชนิดครอบคลุม (broad-spectrum sunscreens) ที่มีส่วนผสมที่ได้รับการพิสูจน์แล้วและมีค่า SPF สูง สามารถป้องกันมะเร็งผิวหนัง การเสียโฉม และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกิดจากการสัมผัสรังสี UV ได้

นอกจากกลุ่มคนผิวเผือกซึ่งมีความเสี่ยงสูงแล้ว คนทั่วไปยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมเกราะป้องกันผิวด้วยครีมกันแดดด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนังนั้น แพร่กระจายอยู่ทุกที่ และมีความสามารถในการแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ แม้จะอยู่ในที่ร่ม หรือพื้นที่ที่ไม่มีแสงแดดโดยตรงก็ตาม จึงถือผลิตภัณฑ์ป้องกันสุขภาพที่สำคัญสำหรับทุกคน
มูลูก้า-แอนน์ มิติ-ดรัมมอนด์ (Muluka-Anne Miti-Drummond) และเอลิซา มอร์เจอรา (Elisa Morgera) สองผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน ระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่าประชาชนส่วนใหญ่มีการรับรู้เกี่ยวกับมะเร็งผิวหนังที่ต่ำ การเข้าถึงครีมกันแดดที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งการตอบสนองของสถาบันสุขภาพและรัฐบาลต่อความต้องการด้านการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลผิวเผือกที่ล่าช้า ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่คุกคามการดำรงอยู่ ได้นำไปสู่ภัยพิบัติที่สามารถป้องกันได้ โดยที่มะเร็งผิวหนังได้กลายเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ที่มีภาวะเผือกทั่วโลก

ทำไมครีมกันแดดถึงเป็นปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ
เดิมทีครีมกันแดดถูกจัดอยู่ในกลุ่มเวชสำอาง (Cosmeceuticals) ซึ่งมีหลากหลายแบรนด์และมีการแข่งขันสูงในตลาด ทำให้ราคาไม่คงที่และบางผลิตภัณฑ์มีราคาสูง การขาดการควบคุมด้านราคาและการเข้าถึงนี้จึงก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและคนผิวเผือก ไม่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีค่า SPF ที่จำเป็นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การละเลยความสำคัญของการป้องกันมะเร็งผิวหนัง
โดยเฉพาะในประเทศที่ยากจนและห่างไกลความเจริญอย่างแถบแอฟริกา นี่ถือเป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและสุขภาพที่สำคัญ เช่น แทนซาเนีย มีอัตราการเกิดผู้ที่มีผิวเผือกสูงกว่าในทวีปอื่น ๆ มาก (เช่น ในทุก ๆ 1,400 คนของประชากรชาวแทนซาเนีย จะมีคนผิวเผือก 1 คน ในขณะที่อเมริกาเหนือและยุโรป ใน 20,000 คนของประชากรในภูมิภาคเหล่านี้ จะมีคนผิวเผือก 1 คนเท่านั้น) ซึ่งเท่ากับว่าภาวะผิวเผือกในแทนซาเนียนั้นพบได้บ่อยกว่าในอเมริกาเหนือและยุโรปประมาณ 14 เท่า ทำให้ความต้องการการดูแลผิวหนังมีปริมาณมาก
และการที่หลายประเทศในแอฟริกามีฐานะยากจน ทำให้ครีมกันแดดที่มีคุณภาพและมีค่า SPF สูง ซึ่งจำเป็นต่อผู้เผือก มีราคาสูงเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่จะซื้อหามาใช้ได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ แม้ว่า WHO จะเพิ่งตัดสินใจนำครีมกันแดดกลับเข้าสู่บัญชียาจำเป็นต้นแบบ แต่ในอดีตและในทางปฏิบัติจริง ครีมกันแดดมักไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็น “ยาจำเป็น” จึงไม่ได้ถูกรวมอยู่ในระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพและห่วงโซ่อุปทานของชาติอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการขาดแคลนในพื้นที่ห่างไกล
ภาครัฐคือส่วนสำคัญในลดช่องโหว่การขาดแคลน
สำหรับการแก้ไขปัญหานี้อย่างมั่นคงและยั่งยืน บัญชี EML จะทำหน้าที่เป็นแหล่งอ้างอิงสากล เพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลต่าง ๆ พิจารณาว่ายาและเวชภัณฑ์ใดที่ควรได้รับความสำคัญในระบบสุขภาพของประเทศตน การแก้ไขปัญหาอย่างมั่นคงและยั่งยืนจึงต้องอาศัยการดำเนินการจากภาครัฐ
- การจัดซื้อจัดจ้างและการกระจาย รัฐบาลจะต้องสามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดซื้อในปริมาณมาก (Procurement) ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด และ แจกจ่ายฟรี หรืออุดหนุน (Subsidize) ให้กับผู้มีภาวะผิวเผือกตามสถานพยาบาลของรัฐ
- การรับประกันการเข้าถึง การเข้าถึงครีมกันแดดของผู้ที่มีผิวเผือกต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต การสนับสนุนจากรัฐผ่านระบบยาจำเป็นจึงเป็นหนทางเดียวที่จะรับประกันการเข้าถึงที่ยั่งยืนและเพียงพอ
- มิติความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน ให้รัฐบาลต้องมีการเจรจาต่อรองราคาที่ยุติธรรมมากขึ้น และสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการรวมครีมกันแดดเข้าในโครงการประกันสุขภาพ
การตัดสินใจของ WHO สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นว่าครีมกันแดดเป็นทั้งความจำเป็นทางสาธารณสุขและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน อีกทั้งรายงานของสหประชาชาติ (UN) ปี 2023 ว่าด้วยภาวะผิวเผือกได้เรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติต่อครีมกันแดดเสมือนเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่จำเป็น
อย่างไรก็ยังมีมิติที่เข้มแข็งในด้านความเท่าเทียม เนื่องจากบุคคลที่เผือกจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรน้อย ซึ่งการซื้อครีมกันแดดมาใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นภาระทางการเงินอย่างหนัก การที่ WHO ยกระดับครีมกันแดดให้เป็นยาจำเป็น จึงกระตุ้นให้รัฐบาลต่าง ๆ เจรจาต่อรองราคาที่ยุติธรรมมากขึ้น และสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการรวมครีมกันแดดเข้าในโครงการประกันสุขภาพและการอุดหนุน
