Devialet (เดเวียเล่) เป็นแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำจากฝรั่งเศสที่มีผลิตภัณฑ์เรือธงคือ Devialet Phantom ชุดลำโพงสุดหรู ดีไซน์ทรงกลมแปลกตา พร้อมระบบเสียงที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งต้องได้ไปลองฟังกันสักครั้ง จะเข้าใจว่าเสียงเบสของ Phantom แบบทิ้งดิ่งลงพื้น สร้างแรงสั่นสะเทือนไปได้ทั้งตัวมันเป็นยังไง ที่นี้เมื่อ Devialet ออกหูฟัง True Wireless ชุดแรกของบริษัทมาคือ Gemini (เจมินาย) ก็ได้รับความสนใจอย่างมากว่าจะสามารถเอาเสียงระดับ Audiophile จาก Phantom มาอยู่บนหูฟังตัวเล็กๆ แบบนี้ได้หรือไม่ รีวิวจากแบไต๋วันนี้มีคำตอบครับ
หัวข้อการรีวิว
ดีไซน์ของ Devialet Gemini

งานออกแบบของหูฟังรุ่นนี้แตกต่างจากหูฟังแบบ TWS รุ่นอื่นๆ ในตลาดนะครับ เริ่มตั้งแต่ตัวเคสชาร์จเป็นตลับดีไซน์แปลกไม่เหมือนใคร มีตัวอักษร DEVIALET โดดเด่นอยู่ที่ฝาหลัง ซึ่งฝานี้ใช้การสไลด์เพื่อเปิดเข้าไปถึงหูฟังด้านใน ให้รูปลักษณ์ที่หรูหรา แต่ถ้าเทียบกับหูฟังไร้สายที่แท้ทรูรุ่นใหม่ ๆ ตลับชาร์จของ Devialet นี้จะใหญ่กว่าพอสมควร
มาที่ตัวหูฟัง ก็ออกแบบไม่เหมือนใคร ดีไซน์เป็นวงรีซ้อนกับวงกลมแล้วมีโลโก้ของ Devialet อยู่ด้านใน ซึ่งถ้ามองดี ๆ ดีไซน์นี้ก็ล้อมาจากดีไซน์ของลำโพง Devialet Phantom นั้นเอง เอาไปวางเอียงๆ นี่ใช่เลย ส่วนตัวจุกหูฟังนั้นเป็นซิลิโคนสีขาวตัดกับตัวหูฟังที่เป็นสีดำ ซึ่งจุกหูฟังนี้ก็จะแถมในกล่องมาอีก 3 คู่ 3 ขนาด ให้เลือกใส่ให้เหมาะสมกับหูของเราครับ

หลังจากที่เราใช้หูฟังรุ่นนี้อยู่หลายวัน ก็พบว่าดีไซน์ของหูฟังนั้นดีเลย สามารถใส่ได้ยาวนานหลายชั่วโมงโดยที่ไม่เจ็บหู และสามารถประคองตัวอยู่ในหูได้แน่นหนาดี ไม่หลุดออกจากหูง่ายๆ ครับ ป้องกันน้ำในระดับ IPX4 คือกันน้ำกระเซ็นใส่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะสำหรับใส่ออกกำลังกายนะครับ คือด้วยความที่เป็นจุกแบบ in-ear ก็ทำให้เวลาวิ่งรู้สึกถึงเสียงกระแทกได้
โดย Devialet Gemini มีสีดำให้เลือกเพียงสีเดียวเท่านั้น ส่วนอนาคตจะมีสีอื่นๆ อย่างสีขาว Iconic White เหมือนตัว Phantom รึเปล่า อันนี้ต้องติดตามกันต่อไปครับ
การใช้งาน

Devialet Gemini ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ 1.1 ขึ้นไปนั้นใช้งานไม่ยุ่งยากเลยครับ แค่เปิดฝาแล้วกดปุ่มด้านหน้าเคสค้างไว้ 2 วินาทีเพื่อให้หูฟังเข้าโหมด Pairing ก็จับคู่กับอุปกรณ์ได้เลย แล้วใช้งานครั้งต่อไปแค่เปิดสไลด์ฝาเคสออกมา หูฟังก็พร้อมเชื่อมต่อกับโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เราเคยเชื่อมต่อไว้ทันที เพียงแต่ว่า Gemini สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ครั้งละ 1 ตัวนะครับ จะไม่เหมือนหูฟังบางรุ่นที่มีความสามารถ Multipoint เชื่อมอุปกรณ์ได้พร้อมกัน 2 ตัว (แต่เราก็ยังไม่เจอหูฟังแบบ TWS ที่มี Multipoint นะ)
จุดที่น่าสนใจคือไฟ LED ด้านหน้าเคสที่แสดงสถานะได้สารพัด เมื่อกดปุ่มด้านหน้าจะแสดงระดับแบตเตอรี่ของเคสชาร์จ เมื่อใส่หูฟังเข้าไปจะแสดงระดับแบตเตอรี่ของตัวหูฟัง และแสดงสถานะเวลาชาร์จได้ด้วย โดยถ้าแสดงเป็นสีแดงคือแบตต่ำ แสดงไฟสีส้มคือแบตต่ำกว่า 50% และไฟสีเขียวคือแบตสูงกว่า 50%
โดย Devialet Gemini ชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ที่อยู่ด้านหลังของตลับครับ ซึ่งใช้เวลาชาร์จหูฟังจากศูนย์จนเต็มที่ 1 ชั่วโมงครึ่ง และสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง แล้วสามารถนำหูฟังกลับมาชาร์จในเคสได้จนเต็มอีก 3 รอบ รวมแล้วเราสามารถใช้งานได้ 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จผ่าน Wireless Chage ทั่วไป หรือจะเอาไปแปะหลังสมาร์ตโฟนที่มีระบบ Reverse Charging ก็ชาร์จได้เช่นกัน
การสั่งงานหูฟัง

หูฟังรุ่นนี้สั่งงานด้วยระบบสัมผัส ซึ่งแตะเข้าไปบริเวณโลโก้ที่หูฟังเพื่อสั่งงานครับ โดยมีคำสั่งดังนี้
- แตะ 1 ครั้งข้างไหนก็ได้ เพื่อเล่นหรือหยุดเพลง
- แตะ 2 ครั้ง
- ข้างซ้ายเพื่อย้อนกลับไปเล่นเพลงเดิม
- ข้างขวาเพื่อเล่นเพลงถัดไป
- สามารถกำหนดผ่านแอปเพื่อเปลี่ยนการแตะ 2 ครั้งเป็นเรียก Google Assistant หรือ Siri ได้
- แตะค้าง ข้างไหนก็ได้ เพื่อเปลี่ยนระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวนและโหมดดึงเสียงภายนอก (Transparency)
- สำหรับการคุยโทรศัพท์
- แตะ 2 ครั้งเพื่อรับสาย
- แตะค้างเพื่อตัดสาย
- ระหว่างคุยถ้าแตะ 2 ครั้งคือวางสาย
จะสังเกตว่าไม่สามารถปรับระดับเสียงจากตัวหูฟังได้นะครับ ต้องไปปรับที่เครื่องเล่นเพลงอย่างเดียว แต่เมื่อถอด Gemini ออกจากหู เพลงจะหยุดเองได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่เพลงจะหยุดเอง ตรงนี้ก็น่าจะต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์กันต่อไป
นอกจากนี้เรายังสามารถสั่งงานหูฟังผ่านแอป Devialet Gemini ได้ด้วย ซึ่งจะทำให้เราเลือกโหมดเสียงได้ละเอียดขึ้น ทั้งเลือกระดับการตัดเสียงรบกวน 3 ระดับคือ ต่ำ-สูง-ใช้ในเครื่องบิน หรือเลือกระดับของการดึงเสียงภายนอกว่าจะดึงเข้ามาเยอะหรือน้อย นอกจากนี้คนที่ชอบปรับแต่งเสียงก็ยังสามารถปรับ EQ ของหูฟังได้จากในแอปด้วย แต่ฟังก์ชันที่น่าจะได้ใช้กันบ่อยๆ คือการดูเปอร์เซนต์แบตเตอรี่ทั้งของหูฟังแล้วก็เคส และสามารถใช้อัปเดตเฟิร์มแวร์ของหูฟังได้ด้วยครับ
คุณภาพเสียงของ Devialet Gemini
มาถึงเรื่องสำคัญที่ทุกคนอยากรู้คือคุณภาพเสียงครับ! เริ่มจากสเปกด้านเสียงคือ
- ไดร์เวอร์คัสตอมขนาด 10 mm ข้างละ 1 ตัวให้เสียงแบบ Full Range
- ตอบสนองความถี่ 5Hz to 20kHz
- รองรับ Codec: SBC, AAC, aptX
- รองรับ Bluetooth 5.0
ซึ่งจากสเปกก็จะเห็นว่ารองรับ Codec ทั้ง AAC ที่ใช้กับอุปกรณ์แอปเปิล และ aptX ที่ให้คุณภาพเสียงดีกว่าใน Android ด้วย ทำให้หูฟังรุ่นนี้เหมาะสำหรับใช้กับอุปกรณ์อะไรก็ได้ครับ และแน่นอนว่าพอเป็นหูฟังจาก Devialet ก็ต้องมีเทคโนโลยีพิเศษที่ไม่มีใครทำอัดแน่นมาเพียบคือ
- EAM (Ear Active Matching) คือตัวหูฟังมีการส่งสัญญาณเข้าไปในหูมากกว่าหมื่นครั้งต่อวินาทีเพื่อวิเคราะห์ลักษณะของรูหู และปรับแต่งสัญญาณเสียงให้เหมาะสำหรับหูของแต่ละคนครับ
- IDC (Internal Delay Compensation) อัลกอริทึมพิเศษเพื่อชดเชยความหน่วงของคลื่นเสียงที่เกิดจากการตัดเสียงรบกวน ทำให้คลื่นเสียงที่มาหักล้างเสียงรบกวนภายนอกออกมาตรงจังหวะมากขึ้น การตัดเสียงรบกวนจึงดีขึ้น
- PBA (PRESSURE BALANCE ARCHITECTURE) โครงสร้างอะคูสติกส์ที่ออกแบบพิเศษ โดยแต่ละ Chamber มีการใช้ตาข่ายพิเศษเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก และสร้างความดันที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเสียง
เสียงของ Devialet Gemini เป็นอย่างไร

เสียงของ Gemini นั้นถอดแบบมาจากลำโพง Devialet Phantom เลยครับ คือ
- เสียงเบส: ลูกใหญ่ มวลเยอะ กระแทกจุก ๆ อยู่ในหู แต่เป็นเบสที่มีรายละเอียดไม่บวมจนอึดอัด
- เสียงกลาง-สูง: สดใส สว่าง ไม่โดนเสียงเบสกลบ ให้รายละเอียดดีในเกรดหูฟังแบบ TWS
- เวทีเสียง: โปร่งกว้าง ไม่อึดอัด มิติเสียงสเตอริโอชัดเจน เห็นเครื่องดนตรีได้คมชัด
สรุปแล้วเสียงของ Devialet Gemini นั้นออกมาไม่เสียชื่อแบรนด์ครับ เป็นเสียงคุณภาพดีระดับต้น ๆ ของโลกหูฟังแบบ TWS แล้ว ฟังเพลงอย่าง Dropout Boulevard ของ End of The World ก็ได้ยินเสียงสแนร์ที่ซ่อนอยู่ชัดเจน ซึ่งหูฟังบางตัวจะได้ยินเสียงนี้ไม่ชัด หรือเพลง Perfect Blue ของ DJ Okawari ในช่วงหลักของเพลงที่กลองเริ่มตี ก็ให้รายละเอียดเสียงกลองชัดมากเหมือนเราสัมผัสจังหวะและอารมณ์การฟาดกลองได้เลย
ส่วนระบบตัดเสียงรบกวนก็ทำงานได้ดีอันดับต้นๆ ของหูฟังแบบ TWS เช่นกัน ถ้าเปิดโหมด ANC เป็น High ก็ตัดเสียงรบกวนได้เงียบมาก ดีกว่า OPPO Enco X และ Sennheiser Momentum True Wireless 2 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าเปิดเพลงไปด้วยจะไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลยจริง ๆ บางทีใช้ในบ้านก็จะแอบระแวงว่าคนในบ้านจะเดินมาหาเราโดยที่เราไม่รู้ตัวรึเปล่า เลยเปลี่ยนไปใช้โหมด Transparency ที่ดึงเสียงจากภายนอกเข้ามา เวลาใช้งานในบ้านครับ ซึ่งโหมดนี้ก็ทำงานได้ดี ให้อารมณ์เหมือนนั่งฟังเพลงด้วยลำโพงที่ยังได้ยินเสียงภายนอกอยู่ ซึ่งเสียงภายนอกที่ได้ยินก็เป็นธรรมชาติ รับรู้มิติเสียงได้เหมือนฟังไม่ผ่านหูฟัง
ส่วนเรื่องเสียงดีเลย์ สำหรับการเล่นวิดีโอถือว่าทำได้ดีมาก เล่นแล้วเสียงพูดตรงปากตลอด ไม่มีดีเลย์ ส่วนถ้าเอาไปเล่นเกมหรือใช้งานอื่นๆ ที่ไม่มีการ Buffer เราทดสอบแล้วเสียงจะดีเลย์ประมาณ 300 ms ครับ ซึ่งก็อยู่ในระดับที่รู้สึกทันทีว่าดีเลย์ จึงไม่เหมาะเอาไปใช้เล่นเกมเท่าไหร่
การใช้งานสนทนา

ต้องเข้าใจก่อนว่า Devialet Gemini นั้นยังทำงานในระบบที่มีหูหลักและหูรองอยู่นะครับ แม้ว่าเฟิร์มแวร์รุ่น 1.1 จะปรับปรุงให้เชื่อมหูฟังง่ายขึ้น ไม่เห็นหูฟังแยกเป็นซ้าย-ขวาแล้ว แต่หูฟังข้างขวายังมีสถานะเป็น Master หรือหูหลักอยู่ แบตเตอรี่หูข้างขวาเลยลดลงเร็วกว่าข้างซ้าย และถ้าจะใช้คุยโทรศัพท์ด้วยหูฟังข้างเดียว ก็ต้องใช้หูขวาเท่านั้น ไม่สามารถใช้หูข้างซ้ายข้างเดียวมาคุยโทรศัพท์ได้ ซึ่งถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อจำกัดอะไรครับ
ส่วนคุณภาพเสียงจากไมค์ก็ถือว่าดีเกินคาดสำหรับเราเหมือนกัน คือตอนแรกเราก็ไม่ได้หวังเรื่องไมโครโฟนในหูฟังที่ไม่มีก้านยื่นออกมา และหูฟังจากแบรนด์เครื่องเสียงว่าจะทำไมโครโฟนได้ดี แต่เราใช้ Gemini คุยสายหลายครั้งก็ยังไม่เจอปัญหาปลายสายขอให้พูดใหม่เลย ซึ่งคุณภาพไมโครโฟนเป็นยังไง เราอัดเสียงผ่าน Gemini มาให้ฟังกันครับ
ซึ่งถ้าสนทนาผ่าน Gemini แล้วรู้สึกอึดอัด ให้ลองใช้หูฟังข้างขวาข้างเดียวสนทนาครับ แล้วก็เปิดโหมด Transparency ช่วยดึงเสียงจากภายนอกเข้ามา ก็จะทำให้อึดอัดน้อยลงได้ แต่เราก็อยากให้หูฟังปรับเป็นโหมด Transparency เองเวลาคุยสายนะ จะทำให้สะดวกขึ้น
ราคาของ Devialet Gemini

Devialet Gemini เปิดตัวที่ราคา 10,990 บาท ก็ถือเป็นราคาของหูฟังแบบ True Wireless ระดับไฮเอนด์ที่ไม่สูงมาก โดยเฉพาะเมื่อเอาไปเทียบกับลำโพง Devialet Phantom ที่ราคาเริ่มต้นก็เกือบ 5 หมื่นเข้าไปแล้ว ใครที่จด ๆ จ้อง ๆ กับลำโพง Devialet ลองเริ่มต้นกับ Gemini ดูก่อนได้ครับ เหมือนถอดจิตวิญญาณเสียงกันมา รับรองว่าคนรักเสียงดนตรีไม่ผิดหวังกับมันแน่นอน
ถ้ายังลังเลก็สามารถทดลองฟัง Devialet Gemini ได้ที่ร้าน Devialet by Deco2000 ทั้งที่ EmQuartier และ IconSiam จะได้ลองฟังให้หายคาใจแล้วซื้อติดมือกลับไปได้เลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส