ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เด็กรุ่นใหม่เท่านั้นที่อ่านหนังสือน้อยลง ผู้ใหญ่เองก็เริ่มอ่านหนังสือน้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต เพราะการเข้ามาของ AI ทำให้การนำเสนอข้อมูลง่ายและกระชับมากขึ้น ผู้คนจึงคุ้นชินกับการอ่านเนื้อหาที่ไม่ต้องใช้เวลานานอีกต่อไป 

เรามักจะคิดว่า AI อ่านให้แล้ว ไม่ต้องอ่านเองทั้งหมดก็ได้

ในอดีต การอ่านมักเกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ นิตยสาร หรือการ์ตูน ซึ่งมักใช้เวลาและความจดจ่อมากกว่า แต่ในยุคดิจิทัลผู้คนหันไปอ่านบนหน้าจอมากขึ้น และการเข้ามาของ AI ทำให้การนำเสนอข้อมูลเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่สั้น กระชับ และรวดเร็ว 

อย่างเมื่อก่อนการอ่านหนังสือสอบหรือทำรายงาน สรุปเนื้อหาที่ยาก อาจต้องใช้ความพยายามหรือการค้นคว้าข้อมูลเป็นเวลานาน แต่ทุกวันนี้เพียงแค่ปลายนิ้ว เรื่องที่ว่ายากก็สรุปออกมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้แรงจูงใจหรือความพยายามในการไขว่คว้าลดน้อยลง หรือเรียกว่า “ขี้เกียจ” นั่นเอง

ซึ่งความสามารถของ AI ไม่เพียงแค่สรุปเนื้อหาให้เข้าใจง่ายเท่านั้น แต่ยังยกระดับความสามารถในการอ่านอีกด้วย ลองนึกภาพตามว่า หากคุณเป็นนักเรียนที่ต้องเปรียบเทียบหนังสือสองเล่ม ในสมัยก่อนอาจต้องอ่านเรื่องย่อเป็นตัวช่วย และเปรียบเทียบด้วยตัวเอง

แต่ปัจจุบัน AI มีเครื่องมือที่เป็นตัวช่วยมากมาย เช่น Google NotebookLM AI ที่สามารถจัดการได้ทั้งการ อ่าน และเปรียบเทียบ พร้อมสร้างคำอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย แม้ทุกอย่างจะดูสะดวกสบายก็จริง แต่สิ่งที่ต้องสูญเสียคือทักษะการอ่านและเข้าใจเนื้อหาที่อาจหายไป

คนอ่านหนังสือน้อยลงอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เพราะ AI

เหตุผลที่อ่านน้อยลง ไม่ใช่ผลมาจาก AI เพียงอย่างเดียว มีตัวเลขที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า คนเราอ่านหนังสือน้อยลงเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเพื่อความสนุกหรือเพื่อการศึกษา

ข้อมูลจากสหรัฐอเมริการะบุว่า นักเรียนชั้นประถมที่อ่านหนังสือเพื่อความสนุกเกือบทุกวันลดลงจาก 53% ในปี 1984 เหลือ 39% ในปี 2022 ไปจนถึงมัธยมต้นลดลงจาก 35% ในปี 1984 เหลือเพียง 14% ในปี 2023 เช่นเดียวกับในประเทศอังกฤษที่มีเด็กเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาสนุกกับการอ่านหนังสือในเวลาว่าง

ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็มีแนวโน้มไม่ต่างกัน เนื่องจากอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้เนื้อหาจะแสดงอยู่บนหน้าจอก็จริง แต่ก็ง่ายต่อการเลื่อนผ่านทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่อ่านได้นาน ๆ

ดาบสองคมของเทคโนโลยี

การที่เทคโนโลยีและ AI เข้ามาทำให้ทุกอย่างรวดเร็วและง่ายดายขึ้นก็จริง แต่การอ่านหนังสือให้ประโยชน์ที่มากกว่าแค่การรับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นความสุข การลดความเครียด หรือการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน

ยิ่งเราพึ่งพา AI ในการสรุปและวิเคราะห์เนื้อหามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เราใช้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์น้อยลงเท่านั้น และหากเราไม่หมั่นฝึกฝนทักษะเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ทักษะที่เคยมีก็อาจจะเลือนหายไปในที่สุด

สิ่งที่เราสูญเสียไปไม่ได้มีแค่ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ แต่ยังรวมถึงความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการอ่าน เช่น การได้สัมผัสบทสนทนาที่มีชีวิตชีวาในหนังสือ การเพลิดเพลินกับการใช้ถ้อยคำที่สละสลวย การสร้างความผูกพันกับตัวละคร หรือแม้แต่ความรู้สึกที่ได้พลิกหน้ากระดาษ

ดังนั้น AI อาจไม่ใช่ตัวร้ายที่ทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลง แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่เราต้องรู้จักใช้ให้สมดุล โดยไม่ทิ้งการอ่านด้วยตัวเอง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องและได้รับประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน