ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนบินไปยังสิงคโปร์ หนึ่งในประเทศที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เพื่อสำรวจว่า AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานของบริษัทระดับโลกแล้วจะเวิร์กแค่ไหน
โดยการเดินทางครั้งนี้ BT ได้รับเชิญจาก Google Cloud ให้ไปเยี่ยมชมบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในโครงการ AI Cloud Takeoff (AI CTO) ซึ่งเป็นโครงการที่ทางรัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนให้บริษัทที่มีความพร้อมด้านดิจิทัลนำ AI ไปใช้ พร้อมกับสนับสนุนความรู้ เงินทุน และสิทธิในการเข้าถึงเทคโนโลยีของ Google Cloud เรามาเริ่มดูตัวอย่างการใช้งานจริง (Use Case) ที่น่าสนใจกันเลยครับ
Use Case 1: Frasers Hospitality ใช้ AI แปลงคลิปวิดีโอ เป็นคู่มือเทรนพนักงาน
Use Case แรก ทาง Google Cloud พาเราไปเจอกับ Frasers Hospitality (FH) ธุรกิจบริการที่พัก ที่มีที่พักมากกว่า 120 แห่งใน 21 ประเทศ พวกเขาเผชิญความท้าทายในการรักษามาตรฐานการบริการและขั้นตอนการปฏิบัติงาน (SOP) เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานในสำนักงาน และอุปกรณ์ในห้องพักก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การฝึกอบรมแบบเดิมที่ใช้การบอกเล่าปากต่อปากจึงส่งผลให้คุณภาพและการรักษามาตรฐานทำได้ยาก

Frasers Hospitality เลยไปร่วมมือกับ Google Cloud และ Kyndryl ผ่านโครงการ AI Cloud Takeoff (AI CTO) เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI Agent ที่สามารถวิเคราะห์วิดีโอการฝึกอบรมเพื่อสร้างเอกสารมาตรฐาน SOP (Standard Operating Procedure) และแผนผังลำดับงาน (BPMN) ได้โดยอัตโนมัติ เนื้อหาที่สร้างขึ้นจะถูกตรวจสอบโดยผู้จัดการก่อนนำไปใช้เป็นโมดูลการฝึกอบรม และมีฟีเจอร์แปลภาษาในตัวเพื่อรองรับพนักงานในหลายประเทศ ซึ่งการพัฒนาโครงการนี้ใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการนำไปใช้งานจริง
ผลลัพธ์ที่ได้คือประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น สามารถอัปเดตมาตรฐาน SOP ได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และเพิ่มความสอดคล้องกันของมาตรฐานการบริการทั่วโลก นอกจากนี้ Frasers Hospitality ยังใช้แพลตฟอร์ม AI ของ Google เพื่อเชื่อมฐานข้อมูลโดยตรง เช่น ผู้จัดการสามารถสอบถามอัตราห้องพักที่ดีที่สุดโดยใช้ข้อมูลในอดีต และ AI สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ภายใน 2 นาที ซึ่งลดเวลาที่เคยใช้ถึง 2 สัปดาห์ โดยโซลูชันนี้เริ่มนำร่องที่สิงคโปร์และมีแผนจะขยายไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Use Case 2: Gill Capital ใช้ AI ช่วยค้นหาเสื้อผ้าที่ตรงใจ
จากธุรกิจบริการที่พัก มาต่อกันที่ฝั่งค้าปลีกแฟชั่นครับ Gill Capital Group ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่ดูแลแบรนด์แฟชั่นระดับโลก เช่น H&M, ALO Yoga, และ On Running (ซึ่งดูแลครอบคลุมในไทยด้วย) เขาต้องการแก้ไขปัญหาที่นักช้อปออนไลน์มักประสบกับการค้นหาสินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการ และความจำกัดของแชทบอทแบบดั้งเดิม

Gill Capital เลยนำ AI Agent ที่ใช้ Generative AI (Gen AI) ซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้ Vertex AI มาฝังในเว็บไซต์และแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซของ H&M ในอินโดนีเซียและประเทศไทย ทำให้สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าด้วยการพิมพ์ข้อความทั่วไป (ไม่ต้อง Prompt) ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาท้องถิ่น แม้จะมีการพิมพ์ผิด AI ก็ยังเข้าใจ และนำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องให้ได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ ยังมีการผสานรวม Conversational Agent เข้ามาเป็นผู้ช่วยเสมือนที่ให้คำแนะนำสินค้าผ่านการสนทนาโต้ตอบได้ (คล้าย Chatbot แต่ฉลาดกว่า) สามารถตรวจสอบสินค้าคงคลังในร้านค้าใกล้เคียง รวมถึงตอบคำถามเกี่ยวกับนโยบายการคืนสินค้า ผลการทดลองเบื้องต้นพบว่าช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและยอดขาย โดยมีการวางแผนที่จะเปิดตัวโซลูชันนี้ในประเทศไทยและอินโดนีเซียภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดเวลาการทำงานของพนักงานมากกว่า 200 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ เอเจนต์ยังมีระบบควบคุม (guardrails) เพื่อไม่ให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่ละเอียดอ่อน
Use Case 3: FairPrice ซูเปอร์มาร์เก็ต AI แห่งอนาคต
Use Case สุดท้ายที่เราได้ไปดูงาน ถือว่าใกล้ตัวผู้บริโภคทั่วไปมากที่สุด โดย FairPrice Group ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ได้เปิดตัวโครงการ “Store of Tomorrow” ซึ่งนำ “Agentic AI” หรือ AI ที่มีความสามารถซับซ้อนและทำงานประสานกันหลายส่วน มายกระดับประสบการณ์การซื้อของในร้านซูเปอร์มาร์เก็ต

เราได้เห็นการสาธิตการใช้รถเข็นอัจฉริยะ Smart Cart ที่มีการฝัง Agent AI หลากหลายตัวเข้าไป เพื่อให้สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ผ่านการพูดคุย หรือดูผ่านหน้าจอ ตั้งแต่การค้นหาสินค้า หาตำแหน่งสินค้า ค้นหาสินค้าที่เกี่ยวข้อง หาข้อมูลโภชนาการ รวมถึงสูตรอาหาร
สำหรับในโซนไวน์ ยังสามารถใช้สมาร์ตโฟนแตะที่ป้ายราคาอิเล็กทรอนิกส์ (NFC) เพื่อค้นหาข้อมูลของไวน์ตามความต้องการ (เช่น ประเภท, ประเทศ, ราคา, โอกาสพิเศษ) และยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น รสชาติ หรือการจับคู่กับอาหารได้

ในโซนร้านขายยาและสุขภาพก็มีเครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Tanita) ที่ส่งข้อมูลไปให้ AI วิเคราะห์ร่วมกับความต้องการ เพื่อให้คำแนะนำด้านไลฟ์สไตล์ การวางแผนมื้ออาหาร และสูตรอาหารที่ปรับให้เหมาะกับเราโดยเฉพาะ
นอกจากการบริการลูกค้าหน้าร้าน FairPrice ยังนำ AI มาใช้กับพนักงานภายในองค์กรด้วย โดยใช้แพลตฟอร์ม Google Agentspace เพื่อสร้าง AI Agent ในการสร้างภาพและวิดีโอ (Imagen 4, Veo 3) และ Gemini เพื่อสรุปข้อความโปรโมชัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการสร้างโฆษณาลง 10 เท่า และลดต้นทุนได้ถึง 100 เท่า
กระแสเทคฯ เปลี่ยนโลกในสายตาของ Google Cloud
หลังจากได้เห็น Use Case ที่หลากหลายแล้ว ในส่วนของภาพรวมมีคุณ Mark Micallef, Managing Director Southeast Asia ของ
Google Cloud แชร์ว่า AI กำลังเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะสร้างมูลค่าได้สูงถึง 270,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เขาระบุว่าเทรนด์นี้ทำให้ Google Cloud เติบโตขึ้นมาก เพราะหลายองค์กร ทั้งรัฐบาล บริษัทใหญ่ และสตาร์ทอัพ หันมาใช้ AI ของ Google กันอย่างคึกคัก

รายได้ทั่วโลกในไตรมาส 2 ของปีนี้ (2025) โตขึ้นถึง 32% ทำเงินไป 13,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และกำลังตั้งเป้าธุรกิจที่ระดับ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีนี้ โดยย้ำว่าการเติบโตนี้เป็นผลมาจากการที่ลูกค้านำ AI ไปใช้
นอกจากนี้ยังได้ยกตัวอย่างในภูมิภาคนี้ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น ในอินโดนีเซีย ที่ธนาคารใหญ่ 7 ใน 10 แห่ง รวมถึงยูนิคอร์นกว่า 70% เลือกใช้ Google Cloud ส่วนที่มาเลเซีย รัฐบาลก็กำลังนำ Gemini ไปให้ข้าราชการกว่า 400,000 คนใช้ช่วยในการทำงาน ขณะที่ในสิงคโปร์ ห้าง FairPrice ก็เตรียมเปิดตัว ‘ร้านค้าแห่งอนาคต’ ที่ใช้ AI เต็มรูปแบบ นอกจากนี้ ธนาคาร DBS ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน โดยออกมาเปิดเผยว่า AI ช่วยสร้างรายได้ให้ธนาคารแล้วกว่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว
เพื่อรองรับความต้องการที่สูงนี้ Google Cloud กำลังลงทุนขยายศูนย์ข้อมูล (Cloud Region) ทั้งในอินโดนีเซียและสิงคโปร์ และเตรียมเปิดใหม่ในมาเลเซียและไทย พร้อมทั้งจัดโปรแกรมสอนทักษะ AI ใน 6 ประเทศ เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความสามารถมารองรับเทรนด์นี้
สุดท้ายคุณ Francis deSouza, COO ของ Google Cloud ได้แบ่งปันมุมมองในภาพรวมว่าโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่ขับเคลื่อนด้วยสองกระแสเทคโนโลยีหลัก คือ การย้ายระบบสู่คลาวด์ (Cloud Adoption) และอีกกระแสหลักคือ การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI)

โดยเฉพาะ “Agentic AI” หรือ AI ที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และดำเนินการตามคำสั่งที่ซับซ้อนได้เอง กำลังจะเข้ามามีบทบาทในหลายอุตสาหกรรม ประเด็นสำคัญคือความเร็วในการเปลี่ยนแปลง ที่เทคโนโลยี AI ถูกนำไปใช้งานจริงจากโครงการนำร่องสู่การใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเริ่มสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ จากการศึกษาของ IDC พบว่า ลูกค้าที่ใช้ Google Cloud AI ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ย 727% ภายใน 3 ปี โดยมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 8 เดือน
ในสมรภูมินี้ Google Cloud ได้นำเสนอสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า AI Stack ที่ครบวงจร โดยคุณ Francis ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นดังนี้:
- AI Stack : Google ชี้ว่าเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่ออกแบบ AI Stack ทั้งหมดร่วมกัน ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ (เช่น ชิป TPUs) ไปจนถึงโมเดล AI (เช่น Gemini, Imagen, Veo) เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
- โมเดลที่หลากหลาย : แพลตฟอร์ม Vertex AI มี Model Garden ที่รวบรวมโมเดล AI กว่า 200 แบบ ทั้งจาก Google เอง, จากพาร์ทเนอร์ และโมเดลโอเพนซอร์ส เพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้โมเดลที่เหมาะสมที่สุด
- ความสำคัญของ AI Agent (Google Agentspace): เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรสร้าง Agent เฉพาะทางเพื่อทำงานต่างๆ และรองรับการทำงานร่วมกันระหว่าง Agent เพื่อจัดการงานที่ซับซ้อน
- การขยายโครงสร้าง: บริการทั้งหมดทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม 43 ภูมิภาค และมีการลงทุนต่อเนื่องเพื่อขยาย Cloud Region รวมถึงแผนการเปิด Cloud Region ใหม่ในมาเลเซียและไทย เพื่อตอบโจทย์ด้านอธิปไตยของข้อมูล (Data Residency)
คุณ Francis deSouza ยอมรับว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI สร้างความซับซ้อนในการดำเนินงานและข้อจำกัดหลายด้าน (เช่น พลังงาน, ชิป, บุคลากร) และย้ำว่า การเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการคลาวด์จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรับมือกับความซับซ้อนเหล่านี้ได้ด้วยเทคโนโลยีของ Google Cloud
การเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อดูโครงการ AI Cloud Takeoff (AI CTO) ของ BT ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและกำลังสร้างผลกระทบทางธุรกิจอย่างมหาศาล บริษัทระดับโลกอย่าง Frasers Hospitality, Gill Capital (H&M) และ FairPrice Group ได้พิสูจน์แล้วว่าการนำ AI โดยเฉพาะ ‘Agentic AI’ และ Generative AI มาประยุกต์ใช้ สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างคุณค่าใหม่ๆ ได้จริง ตั้งแต่การปฏิวัติการฝึกอบรมพนักงาน, การยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์, ไปจนถึงการสร้างซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะแห่งอนาคต