ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปอ.) หรือ แบงก์ชาติ เปิดเผยข้อมูลทางสถิติที่สะท้อนให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีที่มิจฉาชีพใช้กลอุบายในการหลอกดูดเงิน สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน บางรายถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว และมากไปกว่านั้นคือการหาทางออกด้วยการคิดสั้น หลังไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางการเงินและความเครียดที่กระทบกับชีวิตได้
เทียบความเสียหาย หลอกโอนเงินเอง vs แอปฯ ดูดเงิน
การถูกหลอกโดยมิจฉาชีพในข้อมูลของแบงก์ชาติจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือการถูกหลอกที่เหยื่อเป็นผู้โอนเงินด้วยตัวเอง และการที่มิจฉาชีพใช้แอปฯ ดูดเงิน จากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ Q1 ปี 2023 ถึง Q2 ปี 2025 พบว่า จำนวนเคสแอปฯ ดูดเงิน จาก Q4 ปี 2023 มา Q2 ปี 2025 มีจำนวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากจำนวนเคส 7,444 เคส และลดลงเรื่อย ๆ จนไม่ปรากฏเคสที่มีความเสียหายจากแอปฯ ดูดเงินเลยในปี 2025

ซึ่งสวนทางกับกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้โอนเงินให้มิจฉาชีพด้วยตัวเอง ใน Q2 ของปี 2025 ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 5,651 ล้านบาท แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2024 ที่ทำตัวเลขความเสียหายแตะ 8,590 ล้านบาท
แสดงให้เห็นถึงมุกใหม่ของมิจฉาชีพที่พัฒนาไปตามพฤติกรรมของมนุษย์ โดยใช้จุดอ่อนในเรื่องความรู้สึกมาเป็นเครื่องมือสำคัญ ให้ผู้เสียหายตัดสินใจกดโอนเงินให้มิจฉาชีพด้วยตัวเอง แม้ว่าบางรายจะรู้อยู่แล้วว่ากำลังถูกมิจฉาชีพหลอกอยู่ก็ตาม

กรณีหลอกให้โอน เคสเดียวสูญเกือบ 5 ล้าน
ยิ่งในกรณีล่าสุด เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ หรือ สายด่วนบริการ One Stop Service 1441 ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตรวจสอบพบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติหลายล้าน ของคุณยายวัย 83 ปี ที่ได้มีบันทึกการโอนเงินให้กับบัญชีที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นมิจฉาชีพ จึงแจ้งไปยังตำรวจพื้นที่ให้เข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติม
ในกรณีนี้แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปพูดคุยกับคุณยายได้ทันก่อนที่จะโอนเงินให้มิจฉาชีพ แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากมิจฉาชีพได้ปลอมตัวเป็นตำรวจปลอม ซึ่งทำให้คุณยายเชื่อสนิทใจ เมื่อตำรวจจริงปรากฏตัวที่หน้าบ้านคุณยายและแจ้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังพบการโอนเงินผิดปกติ คุณยายไม่ยอมเชื่อและปฏิเสธความช่วยเหลือ ด้านตำรวจจริงจึงทำได้แค่ช่วยประสานงานกับผู้นำในชุมชนให้ดูแลและช่วยเตือนคุณยาย ต่อมาทราบว่าคุณยายได้ไปแจ้งความไว้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายนแล้ว แต่ยังไม่ได้เงินคืน
สำหรับกรณีนี้จัดอยู่ในกลุ่มของการถูกมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินด้วยตัวเอง ซึ่งรายละเอียดการทำธุรกรรมที่ผิดปกติของคุณยายที่นำมาซึ่งการตรวจสอบ จากข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้ง ดังนี้
วันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3,500,000 บาท
วันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาท
วันที่ 5 กันยายน โอนเพิ่มอีก 300,000 บาท
วันที่ 8 กันยายน โอนเพิ่มอีก 300,000 บาท
วันที่ 10 กันยายน โอนเพิ่มอีก 450,000 บาท
ยอดเงินที่เสียหายรวม 4,950,000 บาท
มูลค่าความเสียหายที่สูงขนาดนี้ ถูกตั้งคำถามจากหลากหลายความคิดเห็นว่า คนไทยหลอกง่ายเกินไป หรือเปล่า ? หรือจริง ๆ แล้วเป็นเพราะความสามารถของมิจฉาชีพที่หลอกใช้ความเชื่อใจของเหยื่อได้อย่างแยบยลกันแน่

มิจฉาชีพเลือกเป้าหมายแบบไหน ?
ข้อมูลจากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอาจารย์ ดร. สุภสิรี จันทวรินทร์ ได้อ้างอิงถึงงานวิจัยทางจิตวิทยาที่วิเคราะห์การหลอกลวงทางโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตมากกว่า 580 ประเภท ชี้ว่ามิจฉาชีพมักใช้เทคนิคจิตวิทยาการโน้มน้าว 2 ประเภทหลัก ๆ คือ การอ้างอำนาจ (Authority) และการกดดันโดยการจำกัดเวลาหรือจำนวนรางวัลตอบแทน (Scarcity)
ซึ่งกลุ่มเสี่ยงมักเป็นเพศหญิง ที่ตกเป้าในการหลอกลวงให้รักและลวงทรัพย์ภายหลัง ส่วนผู้สูงอายุจะเป็นเป้าของการหลอกโอนเงินโดยตรง หรือหลอกเอาข้อมูลไปใช้เพื่อเข้าถึงทรัพย์สินอีกที และวิจัยยังพบว่าผู้ที่มีรายได้สูงจะเป็นกลุ่มที่ถูกหลอกให้โอนเงิน
หลอกโอนเงินออนไลน์ทั่วโลกพุ่ง ไทยอยู่อันดับ 6
จากการศึกษา The Global State of Scams Report 2022 พบว่า การหลอกลวงออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 ทั่วโลกมีการรายงานถึง 293 ล้านครั้ง สร้างความเสียหายรวม 55,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท)
นอกจากนี้ ACI Worldwide ยังระบุว่า ประเทศที่ใช้ระบบโอนเงินแบบ Real-time Payment สูง มีแนวโน้มที่จะมีการหลอกลวงสูงตามไปด้วย โดยประเทศไทยมีการทำธุรกรรม Real-time Payment เป็นอันดับ 4 ของโลก และมีอัตราการหลอกลวงสูงถึง 25.7% ซึ่งจัดอยู่ในอันดับ 6 ของโลก
อย่างไรก็ตาม แม้มิจฉาชีพจะอัปสกิลในการหลอกลวงเหยื่อให้แปลกใหม่แค่ไหน แต่ในการตัดสินใจให้ข้อมูลส่วนตัวหรือโอนเงินให้บุคคลอื่น จะต้องมีสติและตรวจสอบอยู่เสมอ รวมถึงเตือนตัวเองว่าอย่าเชื่อหรือไว้ใจใครมากเกินไป เพราะท้ายที่สุดความสูญเสียเกิดแค่กับตัวเรา เราคือผู้ที่จะได้รับผลเสียนั้น แม้พูดจะง่าย แต่การจะทำตามได้นั้นเป็นเรื่องยากเสมอ หลายคนอาจจะแย้งว่าไม่เจอกับตัวไม่รู้สึกหรอก แต่เหตุการณ์แบบนี้อย่ารอให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนในครอบครัวเลยจะดีกว่า ตัวอย่างก็มีให้เห็นในสังคมมากอยู่แล้ว มาร่วมกันตระหนักและไม่เป็นส่วนหนึ่งของเหยื่อที่จะขับเคลื่อนแก๊งมิจฉาชีพ เพื่อสังคมที่ปลอดภัย