Highlight
- ความเสียหายระดับล้านล้าน : ในปี 2024 ที่ผ่านมา มีการประมาณการว่า การหลอกลวงออนไลน์ (Scams) สร้างความเสียหายทั่วโลกไปแล้วกว่า 1.03 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 32 ล้านล้านบาท
- กับดักความมั่นใจ : 67% ของคนทั่วโลกเชื่อว่าตัวเองแยกแยะกลโกงได้ แต่ในความเป็นจริง ผู้คนยังคงตกเป็นเหยื่อและสูญเสียเงินมหาศาล สะท้อนช่องว่างระหว่างการรับรู้กับความเป็นจริง
- ประเทศไทยยังน่าห่วง : ไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่มูลค่าความเสียหายคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP สูงเป็นอันดับต้น ๆ โดยมี “แก๊งคอลเซนเตอร์” และการ “โอนเงินผ่านธนาคาร” เป็นช่องทางหลักของมิจฉาชีพ
- AI ภัยเงียบตัวใหม่ : คนไทยยังตระหนักรู้เรื่องการใช้ AI ในการหลอกลวงน้อยที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเป็นช่องโหว่สำคัญที่มิจฉาชีพอาจใช้ในอนาคต
- เงินไม่ได้คืน : มีเหยื่อเพียง 4% ทั่วโลกเท่านั้นที่ได้เงินคืนทั้งหมด และกว่า 70% ไม่ได้แจ้งความกับตำรวจด้วยซ้ำ

รายงาน Global State of Scams 2024 โดย Global Anti-Scam Alliance (GASA) และ Feedzai ที่สำรวจผู้คนกว่า 58,000 คนทั่วโลก แสดงให้เห็นภาพความจริงอันน่าตกใจว่า จากการประมาณการการหลอกลวงออนไลน์ (Scams) สร้างความเสียหายทั่วโลก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 32 ล้านล้านบาท
ถ้าถามว่าเยอะแค่ไหน ก็เทียบเท่ากับ GDP ของประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ทั้งประเทศ หรือเยอะกว่างบประมาณในการบริหารประเทศไทยกว่า 8.5 เท่า นี่เป็นเงินที่ควรจะอยู่ในระบบเศรษฐกิจเพื่อสร้างการเติบโต แต่กลับถูกดูดเข้าไปในเครือข่ายอาชญากรรมของคนบางกลุ่ม
เรื่องนี้สำคัญเพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเงินในกระเป๋าของใครคนหนึ่ง แต่มันกำลังกัดกินความเชื่อมั่นในโลกดิจิทัลและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาค โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
ช่องทางการหลอกลวง

แม้จะมีช่องทางใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่สุดท้ายมิจฉาชีพเองก็ยังคงใช้ช่องทางหลอกลวงหลัก ๆ อยู่ 3 ช่องทาง
- โทรศัพท์และ SMS ยังครองแชมป์ : “โทรศัพท์” และ “SMS” ยังคงเป็นช่องทางหลักที่มิจฉาชีพใช้ติดต่อเหยื่อ โดยมีแอปฯ แชตอย่าง WhatsApp ตามมาติด ๆ นี่คือการเตือนว่าภัยคลาสสิกยังไม่เคยหายไปไหน แค่ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคสมัย
- หลอกชอปปิง ยืนหนึ่งเรื่องความป็อป : กลโกงที่คนทั่วโลกเจอมากที่สุดคือ “หลอกให้ซื้อของออนไลน์” (Shopping Scams) ไม่ว่าจะของไม่ตรงปก จ่ายเงินแล้วไม่ได้ของ หรือหลอกสมัครสมาชิกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อของที่ย้ายมาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น
- AI ภัยคุกคามที่ยังมองไม่เห็น : แม้จะมีการพูดถึงการใช้ AI ปลอมเสียง (Voice Cloning) หรือสร้างวิดีโอ (Deepfake) เพื่อหลอกลวงมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่แน่ใจว่าเคยเจอกับตัวเองหรือไม่ โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น, ไทย และมาเลเซีย ที่รายงานว่าตระหนักรู้เรื่องภัยจาก AI น้อยที่สุด
กับดักของความมั่นใจ
รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกเจอการหลอกลวงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และที่น่าสนใจคือ แม้จะเผชิญหน้ากันบ่อยขนาดนี้ คนส่วนใหญ่ถึง 67% ก็ยังมั่นใจว่าพวกเขาสามารถแยกแยะของจริงกับของปลอมได้
ข้อมูลที่น่าขบคิดที่สุดในรายงานนี้คือ “ความขัดแย้ง” ระหว่างความมั่นใจที่สูงขึ้นกับการสูญเสียที่ยังมหาศาล มันบอกอะไรเรา ?
เป็นไปได้ว่าความมั่นใจนั้นเป็น “ภาวะมั่นใจเกินจริง” (Overconfidence) คนส่วนใหญ่อาจรู้จักกลโกงพื้นฐาน เช่น อีเมลฟิชชิ่งสะกดผิด หรือข้อความ SMS ให้รางวัลเกินจริง แต่เมื่อมิจฉาชีพใช้เทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น เช่น Social Engineering ที่แนบเนียน หรือใช้ AI สร้างคอนเทนต์ที่สมจริง ความรู้เดิม ๆ ก็อาจไม่เพียงพออีกต่อไป

อีกประเด็นคือ “ความเชื่องช้า” ผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อกว่า 70% ไม่ได้แจ้งความกับตำรวจหรือรายงานกับหน่วยงานของรัฐฯ เพราะรู้สึกว่ากระบวนการซับซ้อน ไม่แน่ใจว่าควรแจ้งใคร หรือไม่คิดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สิ่งนี้ทำให้ขนาดของปัญหาที่แท้จริงใหญ่กว่าที่เห็นในรายงานเสมอ และทำให้หน่วยงานรัฐขาดข้อมูลสำคัญในการไล่ล่าอาชญากร
สถิติความเสียหายทั่วโลก
สถิติความเสียหายจากการหลอกลวงต่อหัว (USD & THB)
รวมจากภาพอินโฟกราฟิก (Feedzai × GASA) — คลิกหัวตารางเพื่อเรียง, ช่องค้นหาเพื่อกรอง | อัตราแลกเปลี่ยนคงที่: 1 USD = 33 THB
ประเทศ/พื้นที่ ⇅ | รหัส ⇅ | ต่อหัว (USD) ⇅ | ต่อหัว (THB) ⇅ |
---|
ผลกระทบของไทย

- ผลกระทบต่อ GDP : ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ส่งผลกระทบต่อ GDP หนักที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 3.5% ของ GDP ทั้งประเทศ ตัวเลขนี้ยกระดับปัญหาจากการฉ้อโกงส่วนบุคคลไปสู่ “ปัญหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ของชาติ
- ค่าเฉลี่ยความเสียหาย : คนไทยตกเป็นเหยื่อเสียเงินเฉลี่ยคนละ 1,106 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 36,000 บาท)
- คอลเซนเตอร์ครองเมือง : “การโทรศัพท์” คือช่องทางที่มิจฉาชีพใช้กับคนไทยมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และการ “โอนเงินผ่านธนาคาร” (Wire Transfer) คือวิธีการจ่ายเงินให้มิจฉาชีพที่พบบ่อยที่สุดในไทยสูงถึง 86% ซึ่งสะท้อนภาพแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ระบาดหนักได้อย่างชัดเจน
- จุดอ่อนเรื่อง AI : คนไทยมีความตระหนักรู้เรื่องภัยคุกคามจาก AI ต่ำมาก นี่คือสัญญาณเตือนว่า หากมิจฉาชีพเริ่มใช้ AI โคลนเสียงคนใกล้ชิดเพื่อโทรยืมเงิน หรือสร้างวิดีโอปลอมของผู้บริหารเพื่อสั่งให้โอนเงิน คนไทยอาจเป็นเป้าหมายที่ง่ายกว่าประเทศอื่น
- แสงสว่างจากสื่อ : แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง รายงานระบุว่า “สื่อ” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักรู้เรื่องกลโกงในประเทศไทย
บทสรุป
รายงาน Global State of Scams 2024 ไม่ได้แค่บอกเราว่าเงินหายไปเท่าไหร่ แต่มันกำลังชี้ให้เห็นถึงความเสียหายจากการหลอกลวง แม้จะเป็นแค่การประมาณการตัวเลขที่ออกมา แต่ก็ทำให้เห็นว่าผู้คนทั่วโลกโดนมิจฉาชีพหลอกลวงโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีอย่าง AI ที่กำลังทำให้เส้นแบ่งระหว่างของจริงและของปลอมเลือนรางลง การป้องกันตัวแบบเดิม ๆ ที่อาศัยแค่สัญชาตญาณอาจไม่พออีกต่อไป สุดท้ายแล้วเมื่อมิจฉาชีพใช้ เทคโนโลยีในการโจมตี การป้องกันตัวแบบ ‘ปัจเจก’ อาจไม่ใช่คำตอบ แต่ต้องสู้ด้วยเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งกว่า ทั้งจากภาครัฐ สถาบันการเงิน และแพลตฟอร์มต่าง ๆ คำถามคือ เราจะสร้างมันได้ทันการณ์หรือไม่ ?