รู้หรือไม่ว่าข้อมูลอินเทอร์เน็ตกว่า 99% ของโลก ไม่ได้เดินทางผ่านดาวเทียมหรือสัญญาณไร้สาย แต่ไหลผ่านสายเคเบิลใต้น้ำ (Submarine Cables) ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลลึก โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมต่อโลกทั้งใบเข้าหากัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นจุดที่เปราะบางอย่างน่ากังวล เมื่อมันถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือในเกมภูมิรัฐศาสตร์ใต้ทะเล (Undersea Geopolitics) ที่กำลังทวีความร้อนแรงขึ้นทุกขณะ
เหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2025 ที่สายเคเบิลหลายเส้นของไมโครซอฟท์ (Microsoft) ในทะเลแดงถูกตัดขาดโดยไม่ทราบสาเหตุ ได้ส่งสัญญาณเตือนไปทั่วโลกว่า สมรภูมิที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ มีพลังทำลายล้างโลกดิจิทัลและส่งผลกระทบโดยตรงต่อเราทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
จากเส้นใยแก้วนำแสง สู่สมรภูมิมหาอำนาจ
เดิมทีการวางสายเคเบิลใต้น้ำเป็นเรื่องของธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อเชื่อมต่อโลกให้สื่อสารกันได้เร็วขึ้น แต่ปัจจุบันมันได้กลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน ใครก็ตามที่ควบคุมเทคโนโลยีการผลิต การติดตั้ง และจุดเชื่อมต่อสายเคเบิลเหล่านี้ ย่อมหมายถึงการกุมความได้เปรียบทั้งในด้านข่าวกรอง เศรษฐกิจ และความมั่นคง

ตลาดนี้เคยถูกครอบครองโดยบริษัทจากสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบริษัทจีนอย่าง HMN Technologies (หรือในชื่อเดิม Huawei Marine) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายสำคัญด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ทำให้สามารถขยายอิทธิพลไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา สร้างความกังวลให้ชาติตะวันตกว่าจีนอาจใช้โครงสร้างพื้นฐานนี้เพื่อการสอดแนมหรือสร้างความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์
เหมือนจะปลอดภัย แต่เปราะบางกว่าที่คิด
แม้ว่าสายเคเบิลใต้น้ำถูกสร้างวัสดุจากที่มีความทนทานมาก สามารถป้องกันแรงดันน้ำมหาศาลใต้พื้นสมุทรได้ แต่ถึงอย่างนั้นกลับเปราะบางและสามารถถูกโจมตีได้ เหตุการณ์ที่ตอกย้ำความเปราะบางนี้ได้ชัดเจนที่สุดคือ วิกฤตการณ์ในทะเลแดง ที่มีสายเคเบิลที่เชื่อมระหว่างเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรป

ตามรายงานเมื่อเดือนกันยายน 2025 ทาง Microsoft ระบุว่าสายเคเบิลอย่างน้อย 4 เส้นในบริเวณทะเลแดงถูกตัด ส่งผลให้ปริมาณการรับส่งข้อมูล (Traffic) หายไปถึง 25% ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในหลายประเทศต้องเผชิญกับความเร็วที่ลดลง ขณะที่ผู้ให้บริการต้องรีบหาเส้นทางสำรอง เช่น การอ้อมไปใช้เส้นทางผ่านสหรัฐฯ หรือภาคพื้นดินผ่านจีน ซึ่งล้วนเพิ่มต้นทุน และเวลาแฝง (Latency)
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่ข้อสงสัยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งเคยมีประวัติโจมตีเรือสินค้าในบริเวณดังกล่าวมาก่อน และแม้กลุ่มฮูตีจะออกมาปฏิเสธ แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้เผยให้เห็นแล้วว่า การจงใจโจมตีโครงสร้างพื้นฐานเน็ตเวิร์กเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการทหาร ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป การซ่อมแซมเองก็ทำได้ยากลำบาก ต้องใช้เรือและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

นอกจากนี้สายเคเบิลก็จะไร้ความหมายหากไม่มีสถานีภาคพื้นดิน (Cable Landing Stations – CLS) ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อสายเคเบิลจากโลกเข้ากับโครงข่ายอินเทอร์เน็ตของแต่ละประเทศ สถานีเหล่านี้จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญและเปราะบางอย่างยิ่ง การควบคุมหรือโจมตีสถานีเหล่านี้ เท่ากับการควบคุมการเข้าหรือออกของข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้ทั้งประเทศ
สำหรับประเทศไทยมีสถานี Cable Landing Stations (CLS) หลายแห่งที่เป็นประตูเชื่อมเราเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ต ได้แก่
- สถานีโมฬี (MOALEE Cable Landing Station) จังหวัดระยอง
- สถานีสงขลา (Songkhla Cable Landing Station)
- สถานีเพชรบุรี (Petchaburi Cable Landing Station)
- สถานีศรีราชา (Sri Racha Cable Landing Station)
จากความเสี่ยงสู่โอกาส ศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน
หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องของมหาอำนาจ แต่จริง ๆ แล้วประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะไทยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) กับมาเลเซียและสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังเป็นประตูสู่ตลาดใหญ่อย่างจีนและอินเดีย-ตะวันออกกลาง

อย่างที่คุณอาเดบาโย (Nnamdi Okonkwo) ผู้บริหารกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง GIP BlackRock เคยกล่าวไว้ว่า “Thailand has land” ประเทศไทยมีที่ดินและทำเลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นจุดเชื่อมต่อของภูมิภาค ทั้งจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนด้าน Data Center, Cloud Computing และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
เกมอำนาจที่ซ่อนอยู่ใต้เกลียวคลื่น
สงครามสายเคเบิลอาจไม่มีเสียงปืนหรือการนองเลือด แต่มันคือเกมแห่งอำนาจที่เงียบเชียบและซ่อนอยู่ใต้เกลียวคลื่น เหตุการณ์ที่ทะเลแดงคือสัญญาณเตือนว่าการเชื่อมต่อของโลกที่เราพึ่งพาอยู่ทุกวันนั้นไม่ได้มั่นคงอย่างที่คิด
ส่วนประเทศไทยก็ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ หากวางยุทธศาสตร์ดี ๆ อาจคว้าโอกาสในการเป็นศูนย์กลางข้อมูลของภูมิภาคได้ ซึ่งจะสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาลในเกมอำนาจใต้น้ำ
แต่คำถามคือ ไทยจะเลือกเป็นแค่ ‘ทางผ่าน’ หรือจะก้าวขึ้นมาเป็น ‘ผู้เล่นคนสำคัญ’ ในสนามนี้ ?