แม้ Nvidia จะยังคงเป็นผู้นำตลาดชิป AI แบบไม่เห็นฝุ่น แต่เจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ซีอีโอของ Nvidia กลับออกมาเตือนว่า “เป็นเรื่องโง่ที่จะประมาทความสามารถและสปิริตในการแข่งขันอันน่าทึ่งของ HUAWEI”
เจนเซ่น หวง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในเกาหลีใต้ โดยชี้ว่าบริษัทคู่แข่งสัญชาติจีนรายนี้ไม่ใช่ผู้เล่นที่ควรมองข้าม แม้ Nvidia จะยังนำหน้าอยู่หลายช่วงตัวก็ตาม แต่การประเมินต่ำไปนั้น “เป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างยิ่ง” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Huawei ได้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงในสงครามชิป AI ระดับโลก

"บริษัทนี้มีเทคโนโลยีที่ไม่ธรรมดา พวกเขาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และเป็นผู้ครองตลาด 5G ของโลกนี้ พวกเขาสร้างมือถือที่น่าทึ่ง พวกเขาสร้างชิปที่น่าอัศจรรย์ พวกเขาชำนานเรื่องเน็ตเวิร์กมาก และพวกเขาก็มีการเปิดตัว CloudMatrix ผมไม่แปลกใจเลยว่าพวกเขาสามารถสร้างสิ่งที่น่าทึ่งแบบนี้ออกมาได้"
นี่ตอกย้ำว่า แม้จะถูกตัดขาดจากเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของตะวันตก อย่างชิปและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ แต่ HUAWEI และโครงสร้างด้านเทคโนโลยีของจีนก็ยังสามารถพัฒนาชิป AI ประสิทธิภาพสูงอย่างตระกูล Ascend (เช่น Ascend 910C, 910D) และระบบ Supercomputer เช่น CloudMatrix ขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในตลาดตัวเองได้สำเร็จ และเริ่มท้าทายการผูกขาดของ Nvidia ซึ่งนี่คือสิ่งที่เปลี่ยนเกมสำหรับอุตสาหกรรม AI ทั่วโลก
เจนเซ่นกล่าวว่า “เป็นการขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หากคิดว่า Huawei สร้างระบบขนาดใหญ่ไม่ได้” และพูดเสริมว่า “การแข่งขันของเราเป็นเรื่องจริงจัง เราเคารพคู่แข่ง เราเคารพศักยภาพของจีนสุด ๆ นี่คือเหตุผลที่เราต้องวิ่งให้เร็ว และเป็นเหตุผลที่เราอุทิศตนเพื่อสร้างอนาคต เพื่อที่เราจะได้ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนคนอื่น”

คำกล่าวของ เจนเซ่น หวง ดูมีน้ำหนัก จากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่
- การพัฒนาชิป Ascend ที่เร็ว: มีรายงานทางเทคนิคว่าชิป Ascend 910C ของ HUAWEI สามารถทำประสิทธิภาพได้เหนือกว่าชิป Nvidia H20 (รุ่นที่สหรัฐฯ อนุญาตให้ขายในจีน) ด้วยซ้ำ ทำให้บริษัทจีนมีทางเลือกที่เหนือกว่าในการฝึกโมเดล AI ในประเทศ
- ระบบ CloudMatrix: HUAWEI ประกาศสร้างระบบ Supercomputing AI ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพทัดเทียมกับระบบเรือธงอย่าง Grace Blackwell ของ Nvidia
- ส่วนแบ่งตลาดจีน: จากที่เคยเป็นตลาดทองของ Nvidia (ส่วนแบ่ง 95%) ก็ต้องเผชิญกับการสูญเสียตลาดไปให้กับผู้ผลิตในประเทศจีนเกือบทั้งหมด เนื่องจากมาตรการควบคุมและนโยบายของปักกิ่งที่ผลักดันให้บริษัทจีนหันไปใช้โซลูชั่นในประเทศ
การที่ เจนเซ่น หวง ออกมาพูดเตือนด้วยตัวเอง อาจเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า ขั้วอำนาจด้าน AI กำลังแตกออกเป็น 2 ส่วน โดยมี Nvidia และ Silicon Valley ในฝั่งตะวันตก และอีกส่วนคือฝั่งตะวันออกที่นำโดย HUAWEI และผู้ผลิตชิปในประเทศอื่น ๆ แม้ว่าตอนนี้จะมีการปิดกั้นเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของพวกเขาได้ แต่กลับเร่งให้จีนเร่งพัฒนาเพื่อพึ่งพาตัวเองได้เร็วขึ้น
นี่ไม่ใช่แค่การให้เครดิตคู่แข่ง แต่เป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ และนักลงทุนทั่วโลกว่า สงครามชิป AI ยังไม่จบ และการผูกขาดของ Nvidia กำลังถูกท้าทายอย่างจริงจังจากจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก HUAWEI ที่มีรัฐบาลหนุนหลัง การแข่งขันนี้บังคับให้ Nvidia ต้องวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรักษาระยะห่างในขณะที่คู่แข่งก็ไล่ตามมาติด ๆ
สุดท้ายแล้ว คำถามที่น่าคิดสำหรับผู้เล่นในตลาด AI ทั่วโลกคือ ถ้าหากชิป AI ของ HUAWEI สามารถให้ประสิทธิภาพที่คุ้มค่าในราคาที่ถูกกว่า และพร้อมรองรับการขยายตัวในตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่ที่ไม่ต้องการถูกผูกมัดกับเทคโนโลยีฝั่งอเมริกา การผูกขาดของ Nvidia จะสามารถคงอยู่ได้นานแค่ไหน?