Google Cloud ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ PanyaThAI (ปัญญาไท) ซึ่งเป็นความริเริ่มเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนา ประยุกต์ และขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและวัดผลได้จริงต่อภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ
ชื่อโครงการ “PanyaThAI” มาจากการเล่นคำระหว่าง “ปัญญา” และ “ไท” สะท้อนวิสัยทัศน์ในการผสานสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเข้ากับเทคโนโลยี AI เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมระดับโลกที่ส่งมอบคุณค่าให้แก่อุตสาหกรรม สังคม และเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงแสดงเจตจำนงร่วมของสมาชิกในการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ

โครงการนี้เริ่มต้นด้วย 15 องค์กรสมาชิกผู้ก่อตั้ง ที่ครอบคลุมภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ได้แก่: บิทาซซ่า, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, ฟินโนมีนา, ไทยสมุทรประกันชีวิต, ซีเอ็ดยูเคชั่น, บริษัท ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ จำกัด, สยามพิวรรธน์, แสนสิริ, สคูลดิโอ, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), ไทยวาโก้, ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป, ท็อปส์ และ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป

คุณอรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งรายงานว่าองค์กรของตนมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-10% จากการนำโซลูชัน AI ระดับองค์กรมาให้ทีมงานและผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรง องค์กรของพวกเขากำลังจัดสรรงบประมาณด้าน AI อย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปยังแพลตฟอร์ม Agentic แบบครบวงจร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการออกแบบกระบวนการดำเนินงานใหม่ และเสริมสร้างความเป็นผู้นำทางการตลาดของพวกเขา”
หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจังนั้นสามารถก้าวข้าม ‘Pilot Purgatory’ หรือการติดอยู่ในช่วงนำร่องไปได้สำเร็จ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลาเพียง 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI หรือแนวทางการทรานส์ฟอร์มทุกแห่งจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันได้ ผ่านโครงการ PanyaThAI
โครงการ PanyaThAI ดำเนินตามแนวทางแบบ Full-Stack ของ Google ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่น่าเชื่อถือและออกแบบขึ้นเฉพาะ และ งานวิจัยล้ำสมัยจาก Google DeepMind ไปจนถึงโมเดลพื้นฐานระดับแนวหน้าภายในพอร์ตโฟลิโอขนาดใหญ่ของ Google อาทิ Veo 3.1, Gemini 3, Gemini 3 Pro Image หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nano Banana Pro และ Gemini 2.5 Computer Use รวมถึงแพลตฟอร์มแบบครบวงจรอย่าง Vertex AI และ Gemini Enterprise ตลอดจนแอปพลิเคชันสำเร็จรูปอย่าง Customer Engagement Suite และ Google Workspace ภายใต้โครงการนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI จาก Google Cloud พร้อมด้วยพันธมิตรในระบบนิเวศจะร่วมกันสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใน Stack เหล่านี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อพัฒนาและปรับใช้โซลูชัน Agentic AI ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมการใช้งานหลากหลายรูปแบบ กระบวนการทำงาน และเวิร์คโฟลว์ โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ต้นทุน และความปลอดภัยในทุกมิติ

พันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาและการดำเนินงานของ Google Cloud ที่ร่วมสนับสนุนโครงการ PanyaThAI ประกอบด้วย Accenture, Deloitte, Digithun Worldwide, HoriXonT8, MFEC, NTT DATA, Skooldio และ Tridorian ทั้งนี้ NTT DATA ยังได้ประกาศแผนเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Google Cloud ในประเทศไทยอีก 300 คน ครอบคลุมทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์, และการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย เพื่อยกระดับความพร้อมในการสนับสนุนโครงการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โครงการ PanyaThAI มุ่งสนับสนุนให้องค์กรสมาชิกนำแนวทางการทรานส์ฟอร์มที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Google Cloud ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางดังกล่าว ได้แก่
- การร่วมกันพัฒนา AI Roadmap ที่ออกแบบเฉพาะและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยผสานเข้ากับกลยุทธ์หลักขององค์กรเพื่อให้การดำเนินงานด้าน AI สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ พร้อมระบุพื้นที่หรือกระบวนการสำคัญที่ Agentic AI สามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจน
- ให้ความสำคัญกับการคัดเลือก Use Case ด้าน AI ที่เหมาะสมที่สุด โดยประเมินศักยภาพในการสร้างคุณค่าเทียบกับความเป็นไปได้และความพร้อมในการนำไปสู่การปฏิบัติจริง
- พัฒนาโซลูชัน AI แบบเปิดและรองรับการทำงานร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่นสำหรับแต่ละ Use Case เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ พร้อมต่อยอดและรองรับการใช้งานในอนาคตได้อย่างมั่นคง
- สร้างระบบกำกับดูแลศูนย์กลางสำหรับโครงการ AI ซึ่งครอบคลุมทั้งการนำหลักการ Responsible AI และกรอบความปลอดภัย Secure AI Framework (SAIF) มาปรับใช้จริง พร้อม Grounding โซลูชัน AI กับแหล่งข้อมูลหลักขององค์กร หรือที่เรียกว่า “Enterprise Truth” เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และสอดคล้องอย่างต่อเนื่อง
- กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อใช้ติดตาม ประเมิน และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของโซลูชัน AI ตลอดวงจรชีวิต
- ยกระดับทักษะบุคลากรตั้งแต่นักพัฒนาไปจนถึงผู้บริหาร ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้และฝึกอบรมแบบครบวงจรที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง อาทิ Google Skills และ ChaiyoGCP
ภายในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ PanyaThAI องค์กรสมาชิกหลายแห่งได้สาธิตโซลูชัน AI ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นผ่านตัวโครงการ
การปฏิวัติธุรกิจไทยด้วยพลัง Agentic AI กรณีศึกษาจากผู้นำอุตสาหกรรม
การเปิดตัวโครงการ PanyaThAI ของ Google Cloud สะท้อนถึงการนำ Agentic AI มาเป็นกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจไทยอย่างจริงจัง โดยมีองค์กรชั้นนำหลายแห่งได้เริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหลักและสร้างมูลค่าใหม่ให้กับองค์กรแล้ว

ในภาคการศึกษา SE-Education (ซีเอ็ด) ได้ก้าวสู่บทบาทใหม่ด้วยการพัฒนา “บรรณารักษ์อัจฉริยะ” ซึ่งเป็น Semantic Search Agent ที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI และสร้างบน AI Stack ของ Google Cloud ระบบนี้เปลี่ยนจากการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดแบบเดิม มาเป็นการทำความเข้าใจแนวคิดและบริบทของคำถามของผู้ใช้ ทำให้สามารถคัดสรรและแนะนำเนื้อหาด้านความรู้จากแค็ตตาล็อกกว่า 150,000 รายการได้อย่างแม่นยำและตรงจุด ความสำเร็จนี้วัดผลได้จากอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ที่พุ่งสูงขึ้นจาก 12% เป็น 27%

ขณะเดียวกัน ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ไทยวาโก้ ได้ผนวก Creative AI Agent ซึ่งพัฒนาโดย Tridorian และขับเคลื่อนด้วย Generative Media บน Vertex AI ของ Google เข้ามาในห่วงโซ่คุณค่า โซลูชันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหา “Photoshoot Predicament” ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องเสียเวลาและงบประมาณมหาศาลในการถ่ายภาพสินค้าใหม่ทุกเฉดสี Creative Agent ทำหน้าที่เสมือน “โรงย้อมผ้าดิจิทัล” และ “สตูดิโอออกแบบเสมือนจริง” สามารถสร้างภาพสินค้าที่สมจริงและวิดีโอ 360 องศาสำหรับทุกสีได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเพียงภาพสินค้าจริงชิ้นเดียว ซึ่งช่วยเร่งเวลาการเปิดตัวสินค้าเข้าสู่ตลาดและปลดล็อกโอกาสในการผลิตแบบ Made-to-Order

ส่วนในกลุ่มธุรกิจการเงินและประกันภัย ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TIPH) ภายใต้แนวคิด “AI for Insurance Transformation” ได้ร่วมมือกับ HoriXonT8 เปิดตัวสองโครงการสำคัญ โครงการแรกคือ TIP Smart Car Inspection ซึ่งเป็นระบบตรวจสภาพรถก่อนทำประกันด้วย AI (ใช้เทคโนโลยี Gemini) ที่ให้ลูกค้าสามารถดำเนินการด้วยตนเองผ่าน LINE OA เพื่อวิเคราะห์ความเสียหายแบบ Real-time ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มความโปร่งใสและแม่นยำ แต่ยังช่วย ลดต้นทุนให้ลูกค้าได้มากกว่า 70% ส่วนโครงการที่สองคือ TIP AI ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในองค์กร ซึ่งเป็น Generative AI Chat Assistant ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานภายใน Private Environment ที่ปลอดภัย
ความสำเร็จของทั้งสามองค์กรนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีสนับสนุนหลังบ้านอีกต่อไป แต่ได้ก้าวเข้ามาเป็น พลังขับเคลื่อนหลักทางธุรกิจ ในการสร้างนวัตกรรมที่วัดผลได้จริง และยกระดับมาตรฐานการบริการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม