ท่ามกลางแสงไฟสปอตไลต์ที่สาดลงกลางเวที เสียงเชียร์กึกก้องจากคนนับหมื่นในสนาม ทุกคนในที่นั้นรู้ความจริงข้อหนึ่งเหมือนกันว่า “สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือการแสดง”
แต่ทำไมคนถึงยอมควักเงินซื้อตั๋วเข้าไปดูกันนะ ?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่คำว่า “มวยปล้ำ” แต่อยู่ที่นิยามใหม่ที่ WWE (World Wrestling Entertainment) สร้างขึ้น นั่นคือ “Sport Entertainment” ที่มากกว่าการแสดงหรือกีฬา แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม และมีเบื้องหลังที่มากกว่าความบันเทิงซ่อนอยู่
จากคณะโชว์เร่ สู่ปรากฏการณ์ Pop Culture
รากเหง้าของมวยปล้ำไม่ได้เริ่มมาจากสนามกีฬา แต่เริ่มจากคณะโชว์เร่ (ในที่นี้หมายถึง คณะโชว์ที่ออกไปแสดงตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้แสดงประจำถิ่น) ในยุค 1920s ที่นักปล้ำเดินสายไปตามเมืองเล็ก ๆ เพื่อโชว์การต่อสู้กันเพื่อความบันเทิง
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อตระกูลแม็กแมน (McMahon) เข้ามาเปลี่ยนเกม โดยเริ่มจากวิสัยทัศน์ของวินซ์ แม็กแมน ซีเนียร์ (Vince McMahon Sr.) ได้เริ่มปั้น World Wide Wrestling Federation หรือ WWF ก่อนส่งไม้ต่อให้ วินซ์ แม็กแมน จูเนียร์ (Vince McMahon Jr.) ขยายอาณาจักร และพัฒนาเป็น World Wrestling Entertainment หรือ WWE อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังลึกในอเมริกา
จุดที่พีกไปกว่านั้น คือ WrestleMania ในปี ค.ศ. 1985 การจับคู่หยุดโลกระหว่าง Hulk Hogan มาเจอกับ Mr. T จาก The A Team บนเวที Madison Square Garden ที่ไม่ใช่แค่แมตช์มวยปล้ำ แต่คือการยกระดับเปรียบเหมือน “งานวัด” สู่ “รอยัล พารากอน ฮอลล์” ผสมผสานกีฬากับ Pop Culture จนโลกต้องนิยามสิ่งนี้ใหม่ว่า Sport Entertainment อย่างเต็มปาก
เมื่อนักกีฬาต้องเป็นซูเปอร์ฮีโรและวายร้าย
วงการมวยปล้ำไม่ได้มี WWE เท่านั้น แต่ยังมีคู่แข่งใหญ่อย่าง WCW แต่สิ่งที่ทำให้ WWE ชนะตลาดคู่แข่งได้ไม่ใช่แค่เงินทุน แต่คือการสร้างตัวละครฮีโรและเหล่าวายร้ายให้มีชีวิตจริง อย่างเช่น
- Hulk Hogan : ตัวแทนของ American Hero
- Stone Cold Steve Austin : ตัวแทนคนทำงานที่ลุกขึ้นมาต่อต้านเจ้านาย
- The Rock : ชายผู้เต็มไปด้วย Charisma และวาทศิลป์สะกดคนดู
- The Undertaker : ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานที่น่าเกรงขาม และทรงพลัง
พวกเขาไม่เพียงแค่สู้กันเท่านั้น แต่ต้อง Improvise ตลอดเวลา จึงต้องสวมบทบาทเพื่อตรึงอารมณ์คนดูให้อยู่หมัด
เบื้องหลังที่ซับซ้อนยิ่งกว่า ?
เบื้องหลังฉากหน้าที่สวยงาม คือระบบโลจิสติกส์ ของ WWE ที่เปรียบเสมือนการย้ายลีกกีฬาทั้งลีกไปเรื่อย ๆ ทุกสัปดาห์
- คาราวานยักษ์ : รถบรรทุกกว่า 20 คันขนอุปกรณ์หนัก 10 ตัน ทั้งเวที จอ LED และระบบเสียง เดินทางข้ามรัฐเหมือนกองทัพ และต้องรื้อถอนทันทีที่จบโชว์เพื่อเดินทางต่อ
- การเนรมิตฉาก แสง สี เสียง : ทีมงานมีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการเปลี่ยนสนามหรือฮอลล์เปล่า ๆ ให้กลายเป็นจักรวาล WWE พร้อมระบบแสงสีเสียงที่บิลด์อารมณ์ผู้ชมได้ถึงใจ
- Gorilla Position : ห้องบัญชาการลับหลังฉากที่วินซ์ แม็กแมน หรือผู้บริหารปัจจุบัน นั่งสั่งการทุกอย่างแบบ Real-time ผ่านหูฟังผู้บรรยายและกรรมการ เพื่อควบคุมเรื่องราวให้เป็นไปตามบทเป๊ะ ๆ
ยังไม่รวมถึงทีมแพทย์ที่สแตนด์บายข้างสนาม เพราะแม้บทจะถูกเขียนไว้ก็จริง แต่แรงกระแทก อาการบาดเจ็บ เลือด คือ “ของจริง” ที่นักมวยปล้ำต้องแลกมา
อำนาจที่มากกว่าแค่ความบันเทิง
อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจคือ WWE ไม่ได้เป็นแค่บริษัทบันเทิง แต่เป็นองค์กรที่มี “อำนาจทางการเมือง” ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลแม็กแมน กับ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มีมาอย่างยาวนาน ถึงขนาดที่ Trump Plaza เคยเป็นเจ้าภาพ WrestleMania และ ลินดา แม็กแมน (Linda McMahon) ภรรยาของวินซ์ ก็เคยก้าวเข้าสู่ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
ในเชิงเศรษฐกิจ WWE ใช้ Event Economy เป็นเครื่องต่อรอง ทุกครั้งที่ WrestleMania ไปลงที่เมืองไหน มันหมายถึงเม็ดเงินสะพัดระดับ 150-200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 5,000-6,000 ล้านบาท จากการท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร ทำให้เมืองต่าง ๆ แย่งกันประมูลสิทธิ์จัดงาน ไม่ต่างจากการแย่งเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก
WWE พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มนุษย์เราไม่ได้ต้องการแค่กีฬาที่วัดผลแพ้ชนะเสมอไป แต่เราโหยหาเรื่องเล่า ที่พาเราหนีจากโลกความจริง และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าแม้เรารู้ว่ามันคือการแสดง แต่ทำไมเราก็ยังเต็มใจที่จะตะโกนเชียร์จนสุดเสียงอยู่ดี